ผู้เขียน | มะแข่น |
---|---|
เผยแพร่ |
ตำบลสวนเขื่อน จังหวัดแพร่ ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดแพร่ ท่านที่ขับรถขึ้นเหนือ มุ่งหน้าไปจังหวัดเชียงราย หรือจังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน จะต้องผ่านเมืองแพร่ก่อน พอเข้าเขตอำเภอเมืองแพร่ จะมีป้ายแผ่นใหญ่ หรือคัทเอาท์ เป็นแผ่นป้ายขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เขียนว่า แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดแพร่ คือ ตำบลสวนเขื่อน เพราะมีน้ำตก มีพระธาตุอินทร์แขวน พระธาตุช่อแฮ และบ้านนาคูหา แหล่งท่องเที่ยวอันสำคัญของจังหวัดแพร่ ทุกคนเมื่อมีเวลามักจะแวะไปที่ตำบลสวนเขื่อน เพื่อกราบไหว้พระธาตุอินแขวน ก่อนจะไปจังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา
สวนหน่อไผ่หวานของกลุ่มผู้ใหญ่คนเก่ง อยู่ในเขตตำบลสวนเขื่อน สวนไผ่หวานจะรวมกลุ่มกันปลูกไผ่หวานนอกฤดู คือฤดูแล้ง เริ่มต้นตั้งแต่เดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม 3-4 เดือนนี้ เขาเรียกว่าหน่อไม้หวานนอกฤดู จะมีราคาสูงกว่าหน่อไม้ในฤดู คือฤดูฝน นักกินหน่อเขาบอกว่า หน่อไม้ในฤดูแล้งจะมีรสชาติหอมหวานกว่าฤดูฝนตก ไม่ว่าจะแกงแบบคนเหนือ อีสาน ใส่ปลาร้า ใบย่านาง จะอร่อยมาก
ส่วนหน่อไม้หวานในเขตตำบลสวนเขื่อน ตั้งอยู่ในเขตหมู่ที่ 7 ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าบ้านแม่แคม สวนหน่อไม้เขาจะปลูกริมห้วยแม่แคม น้ำห้วยแม่แคม เป็นลำห้วยขนาดใหญ่ น้ำจะไหลมาจากน้ำตกแม่แคม ริมหวยแม่แคมจะมีการปลูกไผ่หวานพันธุ์ช่อแฮ เพราะฤดูแล้งจะมีน้ำรดกอไผ่เพื่อให้ออกหน่อนอกฤดู
สวนไผ่หวานของ ผู้ใหญ่สนั่น กาชุ่ม มีทั้งหมด 2 แปลง แปลงแรก 3 ไร่ ปลูกไผ่หวานไว้ 300 กอ อายุได้ 3 ปี ติดหน่อฤดูแล้งได้กอละ 2 กิโลกรัม 300 กอ จะได้ 300 กิโลกรัม มีแม่ค้ามารับถึงสวน กิโลกรัมละ 50 จะได้ครั้งละ 20,000 บาท
หน่อไผ่หวานในฤดูแล้งจะรสชาติหอมหวานกว่าฤดูฝนมาก คนเหนือ อีสาน จะชอบมาก มีเท่าไหร่ไม่พอขาย แม่ค้ามารับซื้อที่สวน วันหนึ่งได้ 3,000-4,000 กิโลกรัม เพื่อนำไปส่งเป็นหน่อไม้สด ส่งที่จังหวัดเชียงใหม่ พะยา เชียงราย ลำปาง
แม่ค้าผู้รับซื้อมีอยู่หลายราย ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าประจำ เรียกว่าในฤดูแล้งต่างแย่งกันเพราะขายดีกว่าฤดูฝนหลายเท่าตัว
การตัดหน่อสด ในฤดูแล้งจะตัดได้เดือนละ 3 ครั้ง สรุปว่า 1 เดือน มีรายได้ถึง 5-6 หมื่น หักค่าใช้จ่ายเหลืออยู่ประมาณ 4 หมื่น ค่าใช้จ่ายคือ ค่าน้ำมันสูบน้ำ ค่าปุ๋ย ค่าแรงเวลาตัด ต้องจ้างคนมาช่วยเพื่อให้ทันเวลา ต้องตัดแต่เช้ามืด เพื่อให้ทันเวลาแม่ค้าจะมารับเอาตอนเที่ยงวัน จำเป็นต้องใช้คนช่วยตัดหลายคน ตัดแล้วเอามาล้างน้ำให้สะอาด บรรจุใส่ถุงพลาสิตกใส ถุงละ 10 กิโลกรัม
เวลา 1 ปี เราจะได้เงินช่วง 3-4 เดือนนี้แหละ จะได้กิโลกรัมละ 40-50 แต่ไปถึงตลาดจะได้ถึงกิโลกรัมละ 70-80
ผู้ใหญ่สนั่น จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม รวมเป็นทีมงานปลูกไผ่หวานบ้านแม่แคม มีอะไรจะช่วยเหลือกัน การรวมกลุ่มเพื่อจะได้ขอเงินทุนสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. บางครั้งคนมาใหม่ไม่มีที่ดินปลูก ก็ขอเงินกู้จากธนาคารได้ ผู้ร่วมกลุ่มของผู้ใหญ่สนั่นคือ น้องเขยของผู้ใหญ่ ชื่อ นายประหยัด นายประหยัดมีที่ดินเพียง 1 ไร่ ไม่มีเอกสารใดๆ เป็นคนของกรมป่าไม้ แม้จะไม่มีเอกสารแต่ก็มีคนอยากได้ เพราะอยู่ติดลำห้วย นายประหยัดปลูกไว้ 150 กอ
“ผมก็ได้หน่อไม้สดหน้าแล้งนี่แหละที่ทำเงินให้ ผมตัดได้สัปดาห์ละ 100 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 40 สัปดาห์หนึ่งผมมีรายได้ 4,000 บาท หักต้นทุนออกเหลือ 3,000 บาท ต้องใส่ปุ๋ย ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ สูบน้ำเข้ารดให้เปียกชุ่ม ต้องคลุมกอให้แน่นเพื่อให้หน่อมีสีขาว ถ้าไม่คลุมกอแน่นจะไม่ขาวและหวาน”
ก่อนปลูกควรนำกล้าไม้ไผ่ที่ได้จากการขยายพันธุ์โดยวิธีต่างๆ ออกไว้กลางแจ้งเป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อให้กล้าเคยชินกับสภาพแสงแดดในแปลง ในการขนย้ายกล้านี้ยังต้องพึงระมัดระวังอย่าให้ตาที่เหง้าและข้อปล้องได้รับอันตรายมากนัก เพราะอาจจะทำให้ตาซึ่งจะแตกหน่อต่อไปเสียหาย หรือตายได้ เมื่อไถพรวนปรับสภาพดินแล้วทำการยกร่อง กะระยะปลูก คือระยะระหว่างต้นและระหว่างแถวตามขนาดของไม้ไผ่ที่จะปลูกตามที่กำหนดได้ให้เป็นแถวเป็นแนวเดียวกันเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานต่างๆ ใช้ไม้ปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายตรงจุดที่จะขุดปลุมปลูก เมื่อวางเรียบร้อยหมดทั้งแปลงแล้วจึงลงมือขุดหลุมปลูก
ในการปลูกโดยวิธีใช้เหง้ากับตอนั้น ควรจะขุดหลุมให้มีขนาดกว้าง 30x30x50 เซนติเมตร
สำหรับปล้องนั้นย่อมขึ้นอยู่กับขนาดใหญ่เล็กและยาวของแต่ละปล้องเป็นหลัก แต่อย่างน้อยก็ควรจะขุดหลุมให้มีขนาด 20x30x50 เซนติเมตร เป็นอย่างน้อย ส่วนในการปลูกกล้าก็อาจจะอนุโลมให้ใช้ขนาดของการปลูกโดยวิธีใช้เหง้ากับตอได้ แถบปราจีนบุรีหลุมไผ่ตงที่ขุดกันใช้ขนาดกว้าง ยาว ลึก 50 เซนติเมตร ขนาดเดียวเสียส่วนมาก ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้นให้แยกออกเป็น 2 กอง คือ ดินชั้นบนกองหนึ่ง และดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง
สำหรับดินชั้นบนของแต่ละหลุม ให้ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก 1 ปี๊บ หินฟอสเฟต 1 กระป๋องนม และยาฆ่าแมลงฟูราดานครึ่งช้อนแกง ผสมคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วใส่กลับลงในหลุมจนพูน ถ้าไม่พอให้ใช้ดินชั้นล่างผสมลงไปด้วย เมื่อดินยุบตัวดีแล้วจะเสมอกับระดับดินในแปลงปลูกพอดี วิธีปลูกใช้มีดกรีดกั้นถุงวางกล้าไม้ลงในหลุม อาจวางกิ่งพันธุ์เดิมนั้นจะแทงหน่อได้เร็วกว่าการปลูกแบบกิ่งตั้งตรง เป็นการกระตุ้นให้กิ่งพันธุ์ไผ่แทงหน่อเร็วขึ้น ปลูกแล้วกลบดินโดยใช้เท้าเหยียบให้แน่น ใช้ไม้ปักค้ำยึดอย่าให้โดนลมโยกหาเศษไม้ ใบไม้ หรือหญ้าแห้งคลุมดินรอบๆ โคนต้นเพื่อรักษาความชื้นของดินบริเวณโคนต้นไม้
การปลูกพืชแซม
ไม้ไผ่จะให้ผลตอบแทนในรูปของหน่อและลำอย่างรวดเร็วที่สุดในปีที่ 3 ของการปลูกในช่วงหนึ่งและปีแรก จึงควรมีการปลูกพืชเกษตรแทรกระหว่างแถวที่ปลูกไม้ไผ่เพื่อให้มีรายได้จากพืชเกษตรมาทดแทนในช่วงแรก พืชเกษตรที่ควรปลูกคือ แตงโม ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว มันเทศ พริก มะเขือเทศ หรือข้าวโพด อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกันแล้วแต่ความต้องการของตลาดท้องถิ่น หากต้องการปลูกเพียงเพื่อปรับปรุงสภาพดินอาจเลือกปลูกพืชตระกูลถั่วชนิดต่างๆ การปลูกพืชแทรกนี้อาจปลูกอย่างไม่มีรูปแบบและปลูกพืชหลายชนิดผสมกันเพื่อประโยชน์ใช้สอยในครัวเรือน หรือปลูกพืชชนิดเดียวอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยปลูกห่างจากแถวที่ปลูกไม้ไผ่ ประมาณ 50 เซนติเมตร ภายหลังการเก็บเกี่ยวพืชเกษตรที่ปลูกแทรกเมื่อไม้ไผ่มีอายุ 3 ปี ส่วนใหญ่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปลูกแทรก เพราะจะมีรายได้จากการขายหน่อและลำของไม้ไผ่อย่างเพียงพอ อีกทั้งในช่วงปีที่ 3 เดือน ยอดของไม้ไผ่จะแผ่ขยายไปปกคลุมบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดร่มเงาพืชแทรกที่ต้องการแสงมากจะให้ได้ผลไม่เต็มที่
การดูแลรักษา
การปลูกไม้ไผ่เพื่อการค้าควรบำรุงรักษาให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับผลผลิตจากหน่อและลำอย่างสม่ำเสมอ วิธีการปฏิบัติดูแลรักษาอาจดำเนินวิธีแนวทางเดียวกันกับที่ปฏิบัติกับไผ่เศรษฐกิจนั่นคือไผ่ตง ซึ่งชาวบ้านจังหวัดปราจีนบุรีนิยมปฏิบัติกันอย่างได้ผลดี มีดังนี้
การให้น้ำ
ปกติจะปลูกไผ่กันในหน้าฝนอยู่แล้ว เพราะประหยัดน้ำได้มาก อาจจะไม่ต้องให้น้ำเลยก็ได้นอกจากฝนเกิดทิ้งช่วงแล้วผู้ปลูกต้องคอยรดน้ำให้เสมอ อย่าปล่อยให้ขาดน้ำนานๆ
การปลูกซ่อม
โดยทั่วไปจะทำการเช็กการรอดตายของกล้าไผ่เมื่อสิ้นฤดูแล้ง หลังจากนั้นจึงเตรียมกล้าเพื่อปลูกซ่อมในฤดูฝนถัดไป โดยใช้ลำต้นกล้าที่สูงทัดเทียมกับต้นที่อยู่ในแปลงเพื่อให้เจริญได้ทันกัน ควรเตรียมกล้าไม้ไว้สำหรับปลูกซ่อมตลอดเวลา อาจมีแปลงเพาะชำกล้าไม้สำรองไว้ โดยเพาะอยู่ในเข่ง ขนาด 8×10 นิ้ว ซึ่งทำให้ปริมาณของดินให้รากหากินได้มาก เวลาปลูกซ่อมก็ขุดหลุมให้ใหญ่กว่าเข่งเล็กน้อย แล้วยกกล้าลงปลูกทั้งเข่งต้นไผ่ก็จะเจริญได้ทันกัน
การใส่ปุ๋ยในช่วงปีแรก
ไผ่ สามารถใช้ปุ๋ยที่คลุกเคล้าไปกับดินปลูกได้ พอในระยะปีต่อๆ ไปจำเป็นต้องมีการไถพรวนและใส่ปุ๋ย ในระยะนี้อาจจะเห็นว่าหน่อที่แตกจะมีขนาดค่อนข้างเล็กและจะมีขนาดโตขึ้นทุกๆ ปี ถ้าความชุ่มชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ดีพอเพียง แต่ถ้าจะให้ได้ผลเร็วควรจะใช้ปุ๋ยเร่งทำให้ไผ่เกิดหน่อปริมาณมากตลอดฤดูกาลหลังจากเก็บหน่อขายบ้างแล้ว จะทำการตัดแต่งกอและไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืชปกติ นิยมไถพรวนในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ก่อนที่ดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะไถพรวนได้ยาก การใส่ปุ๋ยจะใส่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ปุ๋ยที่นิยมคือปุ๋ยคอกเป็นหลัก ในอัตรา 100-200 กิโลกรัม ต่อไร่ สำหรับป่าไผ่ทั่วไป แต่ถ้าเป็นสวนไผ่จะใส่มาก 1 ต้น ถึง 1 ต้นครึ่ง ต่อไร่ (40-50 กิโลกรัม หรือ 4-5 บุ้งกี๋ ต่อกอ) หรืออาจใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 16-20-0 หรือ 15-15-15 อัตรา 2 ถึง 4 กิโลกรัม ต่อกอ ร่วมกับปุ๋ยคอกในกรณีที่ต้องการเร่งการออกหน่อ
นอกเหนือจากใส่ปุ๋ยปกติแล้วจะมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ในอัตรา 1 ถึง 2 กิโลกรัม รอบๆ กอ ระวังอย่าให้โดนหน่อจะทำให้เน่าได้ และถ้าต้องการให้หน่อมีคุณภาพดียิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ส่วนไผ่ตัดหน่อที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป มีการดูแลรักษาอย่างดีในเรื่องการให้น้ำและใส่ปุ๋ย สามารถเพิ่มผลผลิตหน่อได้ถึง 50-60 หน่อ ต่อกอ ต่อปี วิธีการเพิ่มผลผลิตหน่อเช่นนี้ บางทีมีการใส่ปุ๋ยให้แก่กอไผ่โดยตรง นิยมใส่ปุ๋ยขี้ไก่ ประมาณ 0-30 กิโลกรัม ต่อกอ ใส่ในช่วงเดือนธันวาคม และเมื่อพูนดินรอบๆ กอ แล้วจะใส่ปุ๋ยรอบๆ กองดินที่พูนไว้อีก 1 ครั้ง ถือว่าเป็นการใส่ปุ๋ยให้แก่ระบบเรือนราก นิยมใช้ปุ๋ยยูเรียใส่ประมาณ 10 กิโลกรัม ต่อกอ หลังจากพูนดินและใส่ปุ๋ยเรียบร้อยแล้วควรเริ่มให้น้ำเฉพาะช่วงเช้า หรือให้เช้าเย็นแล้วแต่ความต้องการของไผ่ โดยสังเกตจากใบ หากใบแสดงอาการเหี่ยวในช่วงบ่ายควรให้น้ำในตอนเย็นด้วยการให้น้ำและใส่ปุ๋ยแก่ไผ่ที่ปลูกเพื่อต้องการหน่อปริมาณมากตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไผ่ตงเขียว ที่สามารถให้หน่อเร็วกว่าไผ่ตงพันธุ์อื่นๆ
การกำจัดวัชพืช
วัชพืชในสวนไผ่เป็นปัญหาเฉพาะในช่วง 1 ถึง 3 เดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นไม่ค่อยพบพืชชนิดใดขึ้นอยู่ใต้ร่มเงาของไผ่นัก เพราะเมื่อเรือนยอดแผ่ขยายออกเต็มที่จะเบียดชิดกัน ทำให้แสงแดดส่องผ่านลงไปได้น้อยและใบไผ่จำนวนมากที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินก็จะช่วยคลุมพื้นที่ทำให้พืชอื่นไม่สามารถขึ้นได้ ถ้ายังมีอยู่โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนก็อาจจะต้องตาย วัชพืชจะเป็นเดือนละครั้งหรือสองครั้งก็ย่อมแล้วแต่ความมากน้อยของวัชพืชในท้องถิ่น
สำหรับผู้อ่านต้องการข้อมูล และกิ่งพันธุ์ไผ่หวาน ติดต่อที่ผู้ใหญ่สนั่น กาชุ่ม โทร. 064-429-8814