“มะม่วงแปลกและหายาก” ที่สวนคุณลี พิจิตร ปลูกง่าย ราคาดี

ในปัจจุบันนี้ พื้นที่ปลูกมะม่วงเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้เกือบ 100% เนื่องจากเป็นมะม่วงที่มีการส่งออกมากที่สุด เริ่มจากส่งออกไปญี่ปุ่นประเทศเดียว ต่อมามีการขยายการส่งออกไปยังอีกหลายประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และบางประเทศในยุโรป

สำหรับตลาดในประเทศไทยพฤติกรรมการบริโภคมะม่วงในตลาดเมืองใหญ่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงมะม่วงต่างประเทศที่มีขนาดผลใหญ่ รสชาติอร่อย ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับและขายได้ราคาดี อย่างเช่น “สวนคุณลี” อยู่ที่ ตำบลคลองคะเชนทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. (081) 886-7398, (056) 613-021

มะม่วงไต้หวัน T1 มะม่วงที่รสชาติดีมาก มีกลิ่นหอม เนื้อเยอะ
คุณลี กับมะม่วงไต้หวัน T2

โดย “สวนคุณลี” นั้นเป็นสวนเปิดภาคเอกชนที่เปิดดำเนินการมานานกว่า 10 ปี เป็นสวนเปิดที่ให้เกษตรกรและผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมหาความรู้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด มีประสบการณ์การปลูกมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศแปลกและหายากมานาน

รวมถึงการผลิตมะม่วงนอกฤดู จากที่เคยปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง แต่ปรับเปลี่ยนเป็นมะม่วงทางเลือกสายพันธุ์จากต่างประเทศแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกันเรื่องราคาขาย ปัจจุบันมะม่วงแต่ละสายพันธุ์ที่สวนคุณลี เฉลี่ยขายได้ กิโลกรัมละ 50-200 บาท เลยทีเดียว

มะม่วงไต้หวัน T2 เนื้อสุก รสชาติหวาน หอม รับประทานอร่อยมาก

มะม่วงลูกผสม “ไต้หวัน T1” ในแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนัน เกาะไต้หวัน มีการพัฒนาสายพันธุ์มะม่วงให้สีผิวมีสีแดงมากขึ้น มีพันธุ์มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่หลายสายพันธุ์ มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ของศูนย์แห่งนี้ได้ปรับปรุงพันธุ์ให้ผลมีสีแดงออกม่วงตั้งแต่ระยะผลอ่อน

ทางสวนคุณลี ได้ยอดมะม่วงพันธุ์ลูกผสมพันธุ์ใหม่จากแปลงทดลองของศูนย์แห่งนี้มาหลายสายพันธุ์ และเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้นำยอดพันธุ์มะม่วงเหล่านั้นมาเสียบฝากไว้กับต้นมะม่วงอาร์ทูอีทู (R2 E2) เวลาผ่านไป 3 ปี มะม่วงลูกผสมของไต้หวันหลายสายพันธุ์ได้เจริญเติบโตและพร้อมที่จะให้ผลผลิต

โดยหนึ่งในนั้นทางสวนคุณลี ได้ตั้งชื่อ มะม่วงลูกผสมว่า T1 (T ย่อมาจาก Taiwan) ฤดูกาลที่ผ่านมา มะม่วง T1 ได้มีการออกดอกและติดผล สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าในระยะที่ผลมะม่วง T1มีการติดผลเท่ากับนิ้วก้อย ผิวที่ผลจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีม่วงแดง โดยเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้นสีของผิวจะออกสีม่วงเข้มขึ้น และเมื่อผลแก่จะมีสีม่วงทั้งผล มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม จัดเป็นมะม่วงรับประทานสุกที่รสชาติอร่อย เนื้อมีสีเหลืองละเอียดเนียน ไม่มีเสี้ยน

ต้นมะม่วง T2 อายุ 2 ปี ทรงพุ่มเตี้ย ออกดอกติดผลดกมาก

มะม่วงพันธุ์ T1(TAIWAN เบอร์ 1) เมื่อผลแก่และนำมาวางขายด้วยผิวผลที่มีสีม่วงเข้มจะดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีชาวสวนมะม่วงไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในอนาคต

ปัจจุบัน ทางแผนกฟาร์มของชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ขยายพื้นที่ปลูกมะม่วง T1 มากขึ้น ด้วยมั่นใจว่าปลูกและสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการบริโภคมะม่วงในประเทศไทย

มะม่วงลูกผสมไต้หวัน T2 (TAIWAN เบอร์ 2) ซึ่งเป็นมะม่วงลูกผสมที่โดดเด่นเรื่องของสีผิวที่มีสีแดงอมม่วงเข้มสลับกับสีเหลืองสด ผิวมันเงา ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก เป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ออกดอกและติดผลง่าย ติดผลเป็นพวงและติดผลดก ขนาดผลประมาณ 2-3 ผล ต่อกิโลกรัม เนื้อสุกมีสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานจัด เนื้อละเอียดเนียน มีกลิ่นหอม ไม่เหม็นขี้ไต้เลย เนื้อหนา เมล็ดลีบ เป็นสายพันธุ์ที่น่าขยายพื้นที่ปลูกเป็นเชิงการค้าเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันทางสวนคุณลี จังหวัดพิจิตร ได้ขยายพื้นที่ปลูกมะม่วงลูกผสม T1 และ T2 มากขึ้น ด้วยมั่นใจว่าปลูกและสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

. มะม่วงไต้หวันพันธุ์งาช้างแดง ปลูกที่สวนคุณลี สีผลแดงสวยมาก
เนื้อมะม่วงพันธุ์งาช้างแดง มีสีเหลืองสด รสชาติหวาน หอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบาง

มะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง” ของแท้ สวนคุณลี ได้มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงของแท้มาปลูกและได้ทดลองชิมผลผลิตแล้ว ต้องยอมรับว่า เมื่อผลสุกรสชาติหวานหอม ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญปริมาณเนื้อมากกว่า 90% และเมล็ดลีบเล็กมาก มะม่วงพันธุ์งาช้างแดง ผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร เนื้อสุกมีรสชาติหวาน หอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบางเพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง น้ำหนักของเมล็ดไม่ถึง 100 กรัม มีเฉพาะเนื้อมากกว่า 1 กิโลกรัม

มะม่วงไข่มุกแดง ผลสีแดงสวย รสชาติดี หนัก 1.9 กิโลกรัม

“ไข่มุกแดง” มะม่วงยักษ์พันธุ์ใหม่ ที่มีน้ำหนักผลถึง 3 กิโลกรัม ขณะนี้ไต้หวันได้เริ่มมีการเผยแพร่มะม่วงพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า “พันธุ์หงจู” หรือถ้าแปลและเรียกชื่อเป็นภาษาไทย มีชื่อว่า “พันธุ์ไข่มุกแดง” เป็นมะม่วงประเภทรับประทานผลสุกเหมือนกับพันธุ์อี้เหวิน เบอร์ 6

และเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดผลใหญ่มาก มีน้ำหนักผลเฉลี่ยตั้งแต่ 1,500-3,000 กรัม ลักษณะผลทรงกลมใหญ่ เมื่อสุกเนื้อละเอียดเนียน รสชาติหวาน โดยผิวผลมีสีแดงเข้ม สีสวยมาก และกำลังได้รับความนิยมปลูกแพร่หลายมากขึ้น

และมีการปรับปรุงมะม่วงสายพันธุ์นี้และส่งเสริมเผยแพร่ให้เกษตรกรไต้หวันปลูกมานานประมาณ 5 ปี เกษตรกรไต้หวันเริ่มขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้น เพราะตลาดมีความต้องการมะม่วงสายพันธุ์นี้มากขึ้น

ซึ่งทางสวนคุณลีได้ซื้อผลมะม่วงพันธุ์ไข่มุกแดงดิบกลับมาประเทศไทย และนำมาบ่มให้สุกและรับประทาน ผลปรากฏว่า มีรสชาติหวานและมีเนื้อละเอียดเนียน ที่สำคัญจัดเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่เมล็ดลีบ เนื้อเยอะมาก ปัจจุบันเกษตรกรไต้หวันนำยอดมะม่วงพันธุ์ไข่มุกแดงไปเสียบฝากท้องต้นมะม่วงอ้ายเหวินกันมากขึ้น

. มะม่วงจินหวง ขนาดผลใหญ่มาก รับประทานดิบได้ รับประทานสุกรสชาติดี

มะม่วงไต้หวัน “พันธุ์อี้เหวิน เบอร์ 6” มีถิ่นกำเนิดที่ไต้หวัน และเป็นมะม่วงลูกผสมระหว่าง พันธุ์ “จินหวง” กับมะม่วงพันธุ์ “อ้ายเหวิน” มะม่วงลูกผสม “พันธุ์อี้เหวิน เบอร์ 6”

ต้นพันธุ์ที่ปลูกในสวนคุณลี ได้เริ่มให้ผลผลิตแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นมะม่วงที่มีลักษณะเด่นและรสชาติดี คือ มีผลขนาดใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ย 1-1.5 กิโลกรัม บริโภคได้ทั้งดิบและสุก ในระยะผลดิบหรือห่ามจะมีรสชาติหวานมัน (ไม่มีเปรี้ยวปน) ระยะผลสุกเนื้อจะมีรสชาติหวานหอม ไม่เละ ไม่มีเสี้ยน และไม่มีกลิ่นขี้ไต้ ที่สำคัญสีของผลมีสีม่วงดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น จัดเป็นมะม่วงแปลกและหายาก ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย

อี้เหวิน เบอร์ 6 ผลใหญ่ สีผิวสวย รสชาติหวาน

มะม่วงพันธุ์อี้เหวิน เบอร์ 6 เป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ปลูกง่ายและเริ่มให้ผลผลิตเมื่อต้นมีอายุเฉลี่ยได้ 3-4 ปี จากการสังเกตพบว่า ออกดอกและติดผลดีทุกปี

พันธุ์ “จินหวง” และ พันธุ์ “อ้ายเหวิน”

ไต้หวัน ปลูกในเชิงพาณิชย์อยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ คือ พันธุ์ “จินหวง” และ พันธุ์ “อ้ายเหวิน” ซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกับพันธุ์เออร์วิน ไต้หวันปลูกมะม่วงพันธุ์เออร์วินเพื่อการส่งออก คนไต้หวันเรียกมะม่วงพันธุ์ “เออร์วิน” ว่า “อ้ายเหวิน” และเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ไต้หวันมีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่ถูกใจคนญี่ปุ่น และส่งออกไปขายญี่ปุ่นมากที่สุดในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมของทุกปี ผลผลิตจะออกมากในช่วงเดือนกรกฎาคม

มะม่วงอ้ายเหวิน หรือ เออร์วิน ติดผลดกมาก ที่สวนคุณลี

มะม่วงสายพันธุ์นี้จัดเป็นมะม่วงที่มีผลขนาดปานกลาง ความยาวของผลประมาณ 12 เซนติเมตร น้ำหนัก 300 กรัม ต่อผลโดยประมาณ รูปร่างค่อนข้างยาวรีหรือรูปไข่ ติดผลดกมาก ระยะผลดิบจะมีจุดปะสีแดงบริเวณไหล่และแก้มผล ผิวผลสุกมีสีแดงปะสีเลือดนก จัดเป็นมะม่วงรับประทานผลสุก เมื่อสุกเนื้อมีสีเหลืองทอง ไม่มีเสี้ยน กลิ่นไม่แรง รสชาติหวาน ความจริงแล้วมะม่วงพันธุ์เออร์วินนิยมบริโภคกันทั่วโลก

ในส่วนของมะม่วง พันธุ์ “จินหวง” นั้น ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า มะม่วงพันธุ์จินหวงเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของไต้หวันและได้มีการนำพันธุ์มาปลูกในประเทศไทย ลักษณะทรงผลกลมยาว ก้นผลงอนและค่อนข้างแหลม ผลมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักผล ประมาณ 600-1,300 กรัม ต่อผล ประกอบด้วยเนื้อ ประมาณ 83% รับประทานได้ทั้งดิบและสุก เมื่อผลแก่จัดจะมีรสชาติมัน และเมื่อผลสุกสีของผลจะมีสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานและได้ใช้ชื่อภาษาไทยว่า “พันธุ์นวลคำ”

ความจริงแล้วมะม่วงจินหวงที่ห่อผลด้วยถุงคาร์บอนชุนฟงจะทำให้สีผิวมีสีเหลืองสวยเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง และถ้าจะบริโภคให้มีรสชาติหวานอร่อยที่สุด ควรจะเก็บผลผลิตมะม่วงพันธุ์จินหวงที่ความแก่ประมาณ 80% ขึ้นไป

การติดผลดกของมะม่วงเคนชิงตัน ไพรด์

“เคนซิงตัน ไพรด์” มะม่วงที่ปลูกมากที่สุดในออสเตรเลีย พื้นที่ปลูกมะม่วงในประเทศออสเตรเลียเองจะมีการปลูกมะม่วงหลักๆ อยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ “เคนซิงตัน ไพรด์” (Kensington Pride) และพันธุ์ “อาร์ทูอีทู”

ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า คนออสเตรเลียนิยมบริโภคมะม่วงพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ มากที่สุด ผลผลิตมะม่วงสายพันธุ์นี้มีผลผลิตเฉลี่ยประมาณปีละ 1.65 ล้านกิโลกรัม
มีผลผลิตในแต่ละปีมากกว่ามะม่วงอาร์ทูอีทูที่ปลูกในออสเตรเลียหลายเท่า

คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักมะม่วงสายพันธุ์นี้ ทั้งที่มะม่วงพันธุ์ “เคนซิงตัน ไพรด์” จัดเป็นมะม่วงที่มีเนื้อละเอียดและรสชาติหวานอร่อย มีกลิ่นหอมมาก ไม่มีกลิ่นขี้ไต้ และสามารถปลูกให้ผลผลิตดีในประเทศไทย มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 300-500 กรัม ต่อผล

ในอนาคตมะม่วงพันธุ์เคนซิงตัน ไพรด์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์มะม่วงที่ปลูกมากที่สุดในประเทศออสเตรเลีย จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการส่งออกมะม่วงไทย เพราะตอบสนองต่อการใช้สารแพคโคลบิวทราโซลในการบังคับให้ออกนอกฤดูได้เป็นอย่างดี

มะม่วงอาร์ทูอีทู ผลหนัก 1 กิโลกรัม ตลาดส่งออกตอนนี้มีความต้องการมาก

ส่วนมะม่วง “อาร์ทูอีทู” นั้น เป็นมะม่วงที่มีขนาดผลใหญ่กว่าพันธุ์เคนชิงตัน ไพรด์ น้ำหนักผลเฉลี่ย 800-1,500 กรัม เมื่อสุกรสหวานรับประทานอร่อย ผิวผลเมื่อโดนแดดในช่วงผลเล็กสีผิวจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง เป็นมะม่วงที่โตดีในบ้านเราและตอนนี้เป็นสายพันธุ์มะม่วงหลักที่สวนคุณลีปลูกเป็นเชิงการค้าเพื่อขายให้กับพ่อค้าส่งออก ราคาเฉลี่ย 50-100 บาท (ตามขนาดผลและสีผิว)

มะม่วงยักษ์อัลฟองโซ่ (แม็กซิโก)

มะม่วงยักษ์ “อัลฟองโซ” มะม่วงสายพันธุ์ดีจากแม็กซิโก ขนาดผลใหญ่ 1.5-2 กิโลกรัม เป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่โดดเด่นที่ขนาดผลใหญ่ สีผลสุกมีสีเหลืองสวย (ยิ่งห่อผลด้วยถุงห่อคาร์บอนชุนฟง สียิ่งสวยเป็นสีเหลืองทอง) รสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งทำให้รสชาติเข้มข้น ถูกปากคนไทย การออกดอกติดผลง่ายตามฤดูกาล และจากการทดลองบังคับโดยการราดสารฯ พบว่า ตอบสนองสารราดได้ดี

มะม่วงแก้วขมิ้น มะม่วงรับประทานดิบที่มีความต้องการตลอดทั้งปี

“มะม่วงแก้วขมิ้น” ขายกิโลกรัมละ 50 บาท มะม่วงแก้วขมิ้น ความจริงแล้วมะม่วงชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศกัมพูชา ช่วงที่มีการนำผลผลิตมาขายในบ้านเราใหม่ๆ เรียกมะม่วงแก้วเขมร

ปัจจุบัน นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว มีความพิเศษคือ เป็นมะม่วงปลูกรับประทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก ผลมีขนาดใหญ่กว่ามะม่วงแก้วของไทยอย่างชัดเจน เป็นมะม่วงติดผลดกได้ปีละ 2 ครั้ง เนื้อผลแก่จัดหรือสุกเมื่อผ่าจะเป็นสีเหลืองเข้มคล้ายสีของขมิ้น จึงถูกเรียกชื่อว่า “มะม่วงแก้วขมิ้น”

รสชาติช่วงผลดิบสับเป็นชิ้นๆ จิ้มเกลือพริกป่น หรือรับประทานกับน้ำปลาหวานกรอบมันปนเปรี้ยวและหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งหยาบกระด้างหรือเหนียวเหมือนมะม่วงรับประทานผลดิบบางสายพันธุ์

พ่อค้าขายผลไม้รถเข็นปัจจุบันนิยมเอา “มะม่วงแก้วขมิ้น” ปอกและเฉาะขาย ผลละ 30-50 บาท ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อรับประทานอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะมีแหล่งปลูกเก็บผลส่งเข้าจำหน่ายที่ตลาดไทแบบต่อเนื่องไม่ขาดระยะ เพราะติดผลปีละ 2 ครั้งนั่นเอง

เมื่อผลสุก เนื้อสุก ไม่เละ รสชาติหวาน หอม ไม่มีเสี้ยน อร่อยมาก รสชาติหวานกว่ามะม่วงแก้วสุก แต่จะนิยมรับประทานผลดิบมากกว่าผลสุก ปลูกต้นเดียวมีผลให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้ตลอด แถมเวลาติดผลจะเป็นพวง 3–5 ผล ต่อพวง โรงงานทำมะม่วงดอง เพื่อทำมะม่วงแช่อิ่ม มีเท่าไรรับหมด เพราะรสชาติและน้ำหนักดีเยี่ยม

สนใจต้นพันธุ์มะม่วงต่างประเทศสายพันธุ์แท้ ติดต่อได้ที่ สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398