ที่มา | บันทึกไว้เป็นเกียรติ |
---|---|
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ |
เผยแพร่ |
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ในปัจจุบันนี้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่ปลูกมันเทศและมีการส่งออกมากที่สุดในโลก เมื่อย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการปลูกมันเทศของจีนทราบว่า ได้มีพ่อค้าฝรั่งนำพันธุ์มันเทศมาปลูกในสมัยราชวงศ์ชิง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16-17 หรือประมาณ 300-400 ปี ที่ผ่านมา

และในช่วงเวลานั้น มันเทศ นับเป็นอาหารหลักของคนจีนที่ยากจนและมีพื้นที่ปลูกมากทางตอนใต้ของประเทศจีน ปัจจุบัน มันเทศ ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ก้าวหน้าไปมากและมีการขยายพื้นที่ปลูกในหลายประเทศทั่วโลกและมันเทศไม่ใช่พืชหัวของคนยากจนอีกต่อไป นอกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาสายพันธุ์มันเทศจนเป็นพืชหัวที่มีราคาแพงกว่าผลไม้หลายชนิด ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นต้น
แต่สำหรับคนไทยจะรู้จักมันเทศจากประเทศญี่ปุ่นที่มีการนำเข้ามาขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ในกรุงเทพมหานคร ในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 100 บาท โดยเรียกกันคุ้นปากว่า มันหวานญี่ปุ่น ที่มีเนื้อสีเหลือง

ในการปลูกมันเทศได้มีการจัดแบ่งกลุ่มมันเทศออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มเพื่อการบริโภคสด ลักษณะเด่นของมันเทศในกลุ่มนี้เนื้อจะมีรสชาติหวานกว่าทุกกลุ่ม เนื้อมีความละเอียดเนียนไม่มีเสี้ยน คุณภาพของเนื้อมีความนุ่มฟูและไม่แข็งเกินไป กลุ่มที่มีรสชาติไม่หวานเกินไป มันเทศในกลุ่มนี้มักจะมีการนำไปแปรรูปเป็นอาหารคาวหวานโดยการนำไปเชื่อมหรือนำไปแปรรูปเป็นน้ำมันเทศพร้อมดื่มและมันเทศกลุ่มสุดท้าย คือ มันเทศเพื่ออุตสาหกรรมแปรรูปโดยเฉพาะ มันเทศในกลุ่มนี้มักจะมีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แป้งชนิดต่างๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่เตี๊ยว ฯลฯ (ผู้เขียนได้เคยไปดูงานที่ไต้หวันและได้ซื้อเส้นหมี่เตี๊ยวที่ผลิตจากแป้งมันเทศนำมาผัด มีรสชาติอร่อยมาก เส้นมีความเหนียวนุ่มกว่าเส้นหมี่เตี๊ยวของไทยที่ผลิตจากข้าว)
สายพันธุ์มันเทศทั่วโลกจะมีประเภทของเนื้อ 4 สี ถ้าจะแบ่งกลุ่มของสายพันธุ์มันเทศโดยใช้สีของเนื้อเป็นตัวพิจารณาแล้วจะแบ่งออกได้ 4 กลุ่มใหญ่ คือ เนื้อสีส้ม เนื้อสีเหลือง เนื้อสีม่วง และเนื้อสีขาว เป็นต้น หรือบางสายพันธุ์อาจจะมีลักษณะของ 2 สี อยู่ในพันธุ์เดียวกันก็มี อย่างกรณีของมันต่อเผือกของไทยจะมีเนื้อสีม่วงปนสีขาว แต่เมื่อได้ลงในรายละเอียดของมันเทศในแต่ละกลุ่มสีแล้ว ยังสามารถจำแนกได้อีกหลายสายพันธุ์

อย่างกรณีของมันเทศเนื้อสีเหลืองของญี่ปุ่นนั้น จะแบ่งได้อีกไม่ต่ำกว่า 10 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคมากที่สุดในขณะนี้คือ พันธุ์ KO KEI เบอร์ 14 และพันธุ์ BENI AZUMA เป็นต้น
ผู้เขียนเคยไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายน 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูร้อนเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและได้รายละเอียดเกี่ยวกับมันเหลืองญี่ปุ่นเพิ่มเติมหลายประการ โดยเฉพาะการซื้อขายมันเทศเพื่อการบริโภคของคนญี่ปุ่น นอกจากจะหาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ถ้ามีการระบุสายพันธุ์หรือเป็นสายพันธุ์ที่หายากจะต้องมีการสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต และจะต้องสั่งซื้ออย่างน้อย 5 กิโลกรัม
โดยทางบริษัทจัดจำหน่ายจะส่งมันเทศไปให้ผู้บริโภคถึงบ้านภายในเวลา 2-3 วัน โดยบรรจุกล่องที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และข้างกล่องจะบ่งบอกขนาดของหัวมันเทศเป็น 7 ขนาด คือ S2S, 2S, S, M, L, 2L และ 3L ในแต่ละกล่องจะบรรจุเพียงขนาดเดียวเท่านั้น เหตุผลที่มีความจำเป็นจะต้องแบ่งหัวมันเทศขายเป็นขนาดต่างๆ กัน เนื่องจากในการปลูกมันเทศเมื่อได้ผลผลิตนั้นจะมีขนาดของหัวมันเทศใหญ่ กลาง และเล็กแตกต่างกันไป ทั้งๆ ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกัน
ที่ผ่านมา มีพ่อค้าส่งออกได้มีการติดต่อและมีความต้องการผลผลิตมันเทศญี่ปุ่นเนื้อสีเหลือง โดยระบุสายพันธุ์มาและได้มีการทดลองส่งตัวอย่างมาให้ทางผู้เขียนได้ทดลองรับประทาน เป็นมันเทศเนื้อสีเหลืองที่มีรสชาติอร่อยมากคือ มีความหวานมาก เนื้อนุ่มฟูละเอียดไม่มีเสี้ยน

ในที่สุดผู้เขียนก็ได้คำตอบว่า ในการปลูกมันเทศให้ประสบความสำเร็จนั้น นอกจากจะมีการบำรุงรักษา และให้น้ำที่เหมาะสมแล้ว สายพันธุ์ที่นำมาปลูกมีความสำคัญมาก กล่าวคือ ก่อนที่จะนำหัวมันเทศในแต่ละสายพันธุ์มาเพาะขยายพันธุ์ ควรตรวจสอบด้วยการนำหัวมันเทศนั้นมานึ่ง เผา หรือต้ม เพื่อทดลองรับประทานก่อนตัดสินใจปลูก
มันเทศเกาหลีใต้ ที่วางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ เนื้อสีเหลือ งและเนื้อสีเหลืองส้ม โดยบรรจุขายเป็นกล่องหรือถุงละ 1 กิโลกรัม ขายถึงผู้บริโภคในราคากิโลกรัมละ 8,600 วอน ซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้วเป็นเงิน 230 บาทโดยประมาณ ถุงที่บรรจุหัวมันเทศ มีรูปของเกษตรกรผู้ผลิตติดอยู่บนถุง เป็นการรับประกันคุณภาพ
นอกจากนั้น ยังมีมันเทศที่ผลิตในรูปของเกษตรอินทรีย์และขายในราคาเดียวกัน ผู้เขียนได้ซื้อมันเทศเกาหลีใต้มาทุกสายพันธุ์ รวมถึงมันเทศที่ปลูกแบบอินทรีย์ด้วย และได้นำตัวอย่างการบรรจุหีบห่อมาปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการบรรจุหัวมันเทศที่ผลิตโดยแผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เพื่อจำหน่ายในโอกาสต่อไป เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยผู้เขียนได้นำหัวมันเทศเกาหลีใต้มาทดลองนึ่งรับประทาน ผลปรากฏว่า เป็นสายพันธุ์มันเทศที่มีรสชาติอร่อยมาก และแบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ คือ

“พันธุ์เกาหลีใต้ เบอร์ 1” มีลักษณะเด่นตรงที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น คือเก็บเกี่ยวมาบริโภคได้หลังจากที่ปลูกลงดินไปเพียง 90 วัน หรือ 3 เดือนเท่านั้น ผิวเปลือกมีสีชมพูอมแดง เนื้อมีสีเหลืองส้ม เนื้อละเอียดเนียนไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานอร่อย
ขณะที่อีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ “พันธุ์เกาหลีใต้ เบอร์ 2” มีลักษณะคล้ายกับมันหวานญี่ปุ่น คือผิวเปลือกมีสีแดงเข้ม เนื้อมีสีเหลืองแต่เป็นพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนานกว่า คือต้องปลูกอย่างน้อย 4 เดือน เนื้อมีความนุ่มไม่แข็งและมีรสชาติหวานมาก เมื่อบริโภคแล้วเนื้อมีส่วนคล้ายกับเกาลัด
เป็นที่สังเกตว่า มันเทศเกาหลีใต้ ที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะมีรสชาติไม่หวานเท่าที่ควรแล้ว ข้อควรระวังเป็นพิเศษคือ ปัญหาของการทำลายของ “ด้วงงวงมันเทศ” หรือ “เสี้ยนดิน” ซึ่งจะทำให้รสชาติของมันเทศมีรสขมและมีกลิ่นเหม็น ลักษณะของหัวมันเทศที่บรรจุในถุงและในกล่องที่เกาหลีใต้นอกจากจะมีขนาดหัวใกล้เคียงกันแล้ว หัวมันเทศจะมีดินเกาะติดอยู่โดยไม่ได้ล้างทำความสะอาด ซึ่งจะเป็นข้อดีที่จะช่วยยืดอายุของหัวมันเทศให้ยาวนานขึ้น

รูปแบบของการปลูกมันเทศเกาหลีใต้แบบประณีต ได้มีการประยุกต์รูปแบบการปลูกมันเทศให้ปลูกได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะฤดูฝน ต้นมันเทศเจริญเติบโตทางด้านลำต้นและใบงามเกินไป หรือที่เรียกกันว่าอาการบ้าใบ การเตรียมแปลงปลูกที่มีการยกร่องสูง 50-70 เซนติเมตร ในฤดูฝนจะช่วยในเรื่องการจัดการและมีการลงหัวได้มาก โดยมีรูปแบบปลูก ดังนี้
การปลูกมันเทศในแปลงคลุมพลาสติก ไถดินด้วยผาล 3 จำนวน 1 รอบ ตากดินให้แห้ง 1 อาทิตย์ ไถพรวน 1 รอบ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 1 ตัน ต่อไร่ และปูนขาว ใช้โลตาลี่ปั่นให้ดินละเอียดยกร่องแปลงเป็นสามเหลี่ยมด้วยผาลคู่ กว้าง 1 เมตร สูง 50-70 เซนติเมตร หลังจากนั้น วางระบบน้ำแบบน้ำหยด และคลุมแปลงด้วยพลาสติกคลุมแปลง เจาะรูพลาสติกห่างกัน 30 เซนติเมตร ปลูกมันเทศหลุมละ 2 ยอด ข้อดีของการปลูกมันเทศในแปลงคลุมพลาสติก ทำให้มันเทศลงหัวได้ดีในช่วงฤดูฝน ทำให้ปลูกมันเทศได้ตลอดปี ควบคุมความชื้นในแปลงได้ ลดปัญหาเกี่ยวกับวัชพืช ง่ายต่อการให้น้ำให้ปุ๋ย และลดปัญหาการกระแทกของน้ำฝนหรือน้ำที่ให้แบบสปริงเกอลร์ ที่ทำให้แปลงต่ำลง ซึ่งมีผลอย่างมาใกนเรื่องของการลงหัวและคุณภาพของผลผลิต

การปลูกมันเทศแบบคลุมด้วยฟางข้าว วิธีการใกล้เคียงกับการปลูกแบบคลุมพลาสติก แต่ต่างจากการคลุมพลาสติกมาเป็นคลุมด้วยฟาง ระบบน้ำเป็นแบบน้ำหยด หรือสปริงเกลอร์ ข้อดีของการคลุมด้วยฟาง ป้องกันการกระแทกของน้ำฝนหรือการให้น้ำแบบสปริงเกลอร์ ที่ทำให้แปลงต่ำลง ซึ่งส่งผลให้มันเทศลงหัวได้ดีขึ้น รักษาความชื้นในแปลงได้ดี (เหมาะแก่การปลูกในฤดูหนาว-ฤดูร้อน)