บวบงู ปลูกง่าย ขายคล่อง พืชทำเงิน ตลาดต้องการสูง

บวบ  นับเป็นพืชผักที่มีคุณประโยชน์สูง สายพันธุ์บวบที่เกษตรกรนิยมปลูกอย่างแพร่หลายคือ  บวบเหลี่ยม  บวบหอม  นอกจากนี้ยังมีบวบอยู่พันธุ์หนึ่งซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักกันแพร่หลายนัก  คือ บวบงู  แค่ฟังชื่อ สาวๆ ที่กลัวงู อาจจะไม่ถูกชะตากับชื่อผักชนิดนี้สักเท่าไหร่  หากใครมีโอกาสลิ้มลองรสชาติของบวบงู  เชื่อว่าร้อยทั้งร้อย คงต้องยอมซูฮกให้  เพราะผลอ่อนเอ๊าะๆ  ของบวบงูมีรสชาติหวาน อร่อยมาก  สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้สารพัดเมนู ไม่ว่าจะเป็นเมนูผัดกับ ไข่ หมู กุ้ง  ต้มจิ้มกับน้ำพริกรสจัด หรือปรุงเป็นเมนูแกงส้ม แกงเลียง  ก็อร่อยยอดเยี่ยมทุกเมนู

นอกจากมีจุดเด่นในเรื่องรสชาติความอร่อยแล้ว บวบงู ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยมสูงในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคอีสาน “ บุญทา ดวงอ้อย ” เกษตรกรผู้ปลูกบวบงู  ที่บ้านทับพุง ต.หนองแสง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี เป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงได้ในเรื่องนี้ เพราะ 10 ปีที่ผ่าน บวบงู กลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่ทำเงิน สร้างฐานะและความเป็นอยู่ของครอบครัวแห่งนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคง

บุญทา ยึดอาชีพปลูกผักมากกว่า  20 ปี  เขาปลูกพืชผักตามกระแสความต้องการของตลาดเป็นหลัก  พืชตัวไหนที่ปลูกง่าย ขายดี ตลาดต้องการสูง เช่น ผักกาด แตงกวา  ผักชีลาว หรืออ้อย    เขาลงทุนปลูกมาหมดแล้ว

ที่ผ่านมา ชาวอีสานจำนวนมากนิยมบริโภคพืชประจำท้องถิ่น คือ “ บวบงู ” ที่มีชื่อพื้นบ้านอีสาน ว่า บักงอเงี้ยว บักงูเงี้ยว หรือบักกะดิง ส่วนคนเหนือ เรียกว่า มะนอยงู  คนอีสานนิยมนำผักชนิดนี้ไป ลวก หรือนึ่ง  จิ้มแจ่ว กินแซบหลายๆ          บวบงูที่นิยมปลูกแพร่หลายในถิ่นอีสานมี 2 พันธุ์ คือ “ พันธุ์สีขาว ” ที่มีขนาดผลใหญ่  บางผลมีความยาวถึง 1 เมตร แต่มีข้อเสีย คือ มีรสชาติไม่ค่อยอร่อย  เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกบวบงู “ พันธุ์ลายเขียวขาว ” ซึ่งมีขนาดผลเรียว สั้น รสชาติดีกว่าชนิดแรก

เมื่อ  10 ปีที่แล้ว บุญทาเริ่มปลูกบวบงู บนเนื้อที่ 3- 4 ไร่ ซึ่งเป็นบวบงูสายพันธุ์พื้นเมือง    ผิวไม่สวย ผลมีลักษณะงอบิดเบี้ยว เมื่อนำผลผลิตออกจำหน่ายที่ตลาดอุดรเมืองทองจำนวน 1 คันรถ โดยขายส่งในราคาก.ก.ละ   5 บาท ปรากฎว่า ทั้งวันขายบวบงูได้แค่ครึ่งคันรถเท่านั้น  บุญทาบอกว่า สาเหตุที่ขายสินค้าไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะคนอีสานบางท้องที่ก็ยังไม่รู้จักพืชผักชนิดนี้  บางคนรู้จักแต่ไม่ซื้อเพราะไม่ชอบกลิ่นฉุนของบวบงู

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ไม่ทำให้บุญทาเกิดความย่อท้อ  เขาหันไปใช้เมล็ดพันธุ์บวบงูคุณภาพดีที่มีจำหน่ายในท้องตลาด  ทดลองปลูกบวบงูมาแล้วหลายยี่ห้อ แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกปลูก “ บวบงูพันธุ์ สเน็กกี้ 004 ” ของบริษัทเจียไต๋ จำกัดแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากบวบงู พันธุ์สเน็กกี้  มีการเจริญเติบโตและแตกแขนงดีมาก ทนโรค ให้ผลผลิตสูง ผลมีสีเขียว มีลายทางสีขาวแซม รสชาติหวานกรอบ ขนาดผล 3.0-3.5×45-50 เซนติเมตร น้ำหนัก 170-200 กรัมต่อผล อายุการเก็บเกี่ยว 50 วันหลังปลูก

คำกล่าวที่ว่า “ หัวใจสำคัญของการปลูกพืช คือเมล็ดพันธุ์ ถ้าเมล็ดพันธุ์ดีได้มาตรฐานก็จะให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพ เวลาจำหน่ายก็ได้ราคาดีด้วย ” น่าจะเป็นสัจจธรรมที่ตรงกับชีวิตของบุญทาในช่วงที่ผ่านมา เพราะหลังจากเขาเปลี่ยนมาปลูกบวบงูพันธุ์ สเน็กกี้ ก็ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขี้น        “ บวบงูเป็นพืชที่ปลูกดูแลง่าย ใช้เวลาปลูก 2 เดือน เก็บเกี่ยวผลผลิตไป  50 -60 วัน ปัจจุบันผมเก็บผลผลิตออกขาย ที่ตลาดอุดรเมืองทอง เฉลี่ยวันละ 150 ถุงๆ ละ  5 ก.ก.  ขายส่งถุงละ 60 – 80 บาท  เฉลี่ย ก.ก.ละ 12 – 16 บาท แม่ค้าที่รับซื้อจะนำไปขายปลีกในราคาก.ก.ละ 20-25 บาท แม่ค้าบางรายนำเหมาบวบงูไปขายต่อที่จังหวัดกาฬสินธ์ ในราคาขายส่งถุงละ 100 บาท ” บุญทากล่าว

เมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้บุญทาตัดสินใจขยายพื้นที่ปลูกบวบงูอย่างเดียวถึง   20 ไร่ โดยทั่วไป บวบงู สามารถเพาะปลูกได้ทุกเดือน แต่ช่วงที่ให้ผลผลิตสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน บุญทาวางแผนการปลูกบวบงูอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเนื้อที่ปลูกบวบงู  5 ไร่ ทะยอยปลูกใหม่ทุกๆ  4 เดือน เพื่อให้มีสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

บวบงู สามารถเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด  การเตรียมดินเริ่มจากขุดหลุมปลูกกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างหลุม 1 เมตร ตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 4-5 วัน หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหลุมละ 2-3 กิโลกรัม ปูนขาว 1 กระป๋องนมข้นหวาน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน จึงจะนำต้นกล้ามาปลูก

ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็ก

การเตรียมต้นกล้า ใช้เมล็ดพันธุ์ แช่ในน้ำอุ่นประมาณ 2 ชั่วโมง นำขึ้นมาห่อด้วยผ้าทิ้งไว้ 2-3 วัน เมล็ดเริ่มแตกหน่อ นำไปเพาะในถาดเพาะกล้า ซึ่งบรรจุด้วยปุ๋ยดินหมักชีวภาพ ดิน และแกลบดำ อย่างละเท่า ๆกัน เมื่อต้นกล้าแตกใบจริงคู่ที่ 2 จึงย้ายปลูก

หากฝนไม่ตก ควรรดน้ำทุกวัน ให้พอดินชุ่ม น้ำไม่ขังในแปลงปลูก  ดูแลใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลังปลูกได้ 1 อาทิตย์ ประมาณ 1 กำมือ ต่อหลุมห่างจากต้นประมาณ 1 ฝ่ามือแล้วทำการกลบดินบริเวณรอบหลุมใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินอีก 1 กระป๋องนม หลังจากนั้นใส่ปุ๋ย13-13-21ห่างกัน 15 วัน ต้นละ 1 กำมือ

เนื่องจากบวบงูเป็นประเภทไม้เถา ควรเตรียมค้างหรือร้าน โดยใช้ไม้ไผ่ทำร้านสูงประมาณ 2 เมตร ให้สามารถเดินได้สะดวก เมื่อทำโครงเรียบร้อยแล้ว ใช้อวนตาข่ายขึงด้านบนให้ตึง บวบสามารถเลื้อยบนร้านได้ตลาด ยอดไม่ตกหรือย้อยลงด้านล่าง

การดูแล  ขณะต้นกล้าที่ย้ายมา ยังเล็กอยู่ จะมีเต่าทองมาคอยทำลาย เจาะใบ ควรป้องกันโดยการล้อมกรอบ ต้นกล้าด้วยหนังสือพิมพ์ โดยปักหลัก 4 หลัก   ควรใช้ต้นกล้วยมาผูกเถาของบวบงู ติดค้างจนถึงร้านบวบงู  คอยปลิดแขนงออก ให้มียอดเถาเดียว ขึ้นร้าน แต่เมื่อขึ้นบนร้านให้มีหลายแนงยิ่งดี จะมีผลดก

ผลบวบงูช่วยบำรุงร่างกาย แก้กระหายน้ำ ขับพยาธิ และ แก้ท่อน้ำดีอุด

นอกจากนี้ ควรเติมปุ๋ยหมักชีวภาพอยู่เสมอ ๆ ทุก ๆ 15 วัน และรดน้ำให้ชุ่ม  ฉีดพ่นน้ำหมักสะเดา ทุกสัปดาห์   ทำการตัดใบที่เป็นโรค ยอดที่ไม่สมบูรณ์ออก ไม่ปล่อยให้ใบบวบทับซ้อนกัน แสงแดงสามารถส่องถึงใบได้ทุกใบในระหว่างแถวบวบ โดยทั่วไป  บวบเป็นพืชที่ทนต่อโรคและแมลง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีนัก หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ในบริเวณแปลงบวบควรอนุรักษ์ผึ้ง เพื่อทำหน้าที่ผสมเกสร ช่วยเพิ่มผลผลิต ควบดูแลจัดผลไม่ให้ค้างหรือตั้งอยู่บนตาข่ายเพื่อให้รูปทรงไม่คดงอ การปลูก 1 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน 50 -60 วัน

ปัจจุบัน ครอบครัวบุญทามีรายได้จากการขายบวบงูถึง  324,000 บาท/5 ไร่/5 เดือน เรียกว่า แต่ละเดือนจะมีรายได้เข้ากระเป๋าเฉลี่ย 13,000 บาทต่อไร่ทีเดียว บุญทาบอกอีกว่า ทุกวันนี้ ผมปลูกบวบงูส่งขายที่ตลาดอุดรเมืองทองแค่แห่งเดียว  ก็ขายดิบขายดี จนผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาดแล้ว

      “  ตลาดต้องการ บวบงู พันธุ์สเน็กกี้จำนวนมาก เพราะบวบงูพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ผลตรง  ยาวเรียว สวยงาม เนื้อกรอบนุ่ม มีรสหวานอร่อยน่ารับประทาน  ส่วนเมล็ดพันธุ์บวบงูยี่ห้ออื่น เมื่อนำมาปลูก แม้จะได้ผลตรง ยาวเรียวเช่นกันแต่มีเนื้อหยาบ กินแล้วไม่นุ่มปาก  เนื้อก็ไม่ค่อยหวาน  แม่ค้าแผงผักและผู้ซื้อส่วนใหญ่พึงพอใจรสชาติความอร่อยของ “พันธุ์สเน็กกี้”มากกว่า  ทุกวันนี้ผมตัดสินใจเลือกปลูกบวบงูพันธุ์สเน็กกี้แต่เพียงอย่างเดียว ”

ที่ผ่านมา บวบงู นับเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมสูงในพื้นที่ภาคอีสาน เจียไต๋ ได้สำรวจสายพันธุ์บวบงูพันธุ์พื้นบ้าน พบว่า มีจุดอ่อนเรื่องผลผลิตต่ำ ต้นละ 1-2 กก. ผลมีสีเขียวเข้มลายพร้อยชัดเจน ผู้บริโภคมองเป็นบวบแก่ไม่น่ารับประทาน นำไปวางขายได้เพียง 2 วันก็จะเหี่ยว เจียไต๋จึงวางแผนปรับปรุงสายพันธุ์บวบงูให้มีคุณภาพดีขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ และสร้างอาชีพที่มั่นคงแก่เกษตรกร

นิธิกร อินทวารี   ผู้ปรับปรุง “ บวบงูสายพันธุ์สเน็กกี้ 004 ” ของ เจียไต๋   เล่าว่า ปี  2539 เจียไต๋ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์บวบงู มีชื่อการค้าว่า พันธุ์ “สเน็กกี้” ที่มีลักษณะเด่น คือ  ให้ผลผลิตต่อต้นดก 5-6 กก. ต้นแข็งแรงแตกแขนงได้มากขึ้น ในแต่ละแขนงบางข้อให้ลูกเป็นคู่ ผิวสีเขียวสดใสดูอ่อนวัย วางตลาดได้นานเป็น 3-5 วัน  หลังเปิดตลาดจนถึงทุกวันนี้ บวบงู พันธุ์ “สเน็กกี้” ของ เจียไต๋ ได้รับความนิยมจากเกษตรกรปลูกบวบงูตลอดระยะเวลา 17 ปี  สามารถครองส่วนแบ่งตลาดบวบงูได้ถึง 80%ทีเดียว          สำหรับหนุ่มสาวคนใด ต้องการควบคุมน้ำหนัก  ผู้เขียนอยากแนะนำให้เลือกบริโภคบวบงูเป็นพืชผักประจำบ้าน  เพราะบวบงู เป็นพืชที่มีแคลอรี่และไขมันต่ำ  มีกากไฟเบอร์สูง ทำให้ย่อยง่าย ดีต่อระบบขับถ่ายและเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ บวบงู ยังเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารมากมาย ทั้งแคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส  ผลอ่อนของบวบงูที่นิยมนำมารับประทานนั้นมีสรรพคุณทางสมุนไพร เช่น  แก้ท่อน้ำดีอุดตัน   ขับพยาธิ   ช่วยระบายความร้อนจากร่างกาย  ช่วยล้างสารพิษได้ดี จึงเหมาะที่จะใช้ในกระบวนการดีท็อกซ์

ประการต่อมา รากบวบงู  ยังมีสรรพคุณเป็นยาชูกำลังและยาระบายอ่อน ๆ  น้ำที่สกัดจากใบของบวบงู ช่วยลดอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจ เช่นใจสั่น   น้ำที่สกัดจากบวบงู เมื่อนำมาใช้นวดผม จะช่วยผมร่วงและกำจัดรังแค   แต่ระวังอย่ารับประทานเมล็ดบวบงูเข้าไปปริมาณมาก เพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้และท้องเสียได้