เผยแพร่ |
---|
นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย แถลงว่า จากสถานการณ์ราคายางในช่วงนี้ที่มีผันผวน ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษกิจ การเงิน และการลงทุนภายนอกประเทศ ได้แก่ การที่ธนาคารระมัดระวังการปล่อยเงินกู้และไม่ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทยาง เนื่องจากกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งขายยางในราคาไม่สูงมากนักเพื่อให้ได้สัญญาไปประกอบการกู้เงินสำหรับใช้หมุนเวียนในธุรกิจยาง ประกอบกับเทศกาลวันชาติของประเทศจีน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 7ตุลาคม (วันชาติจีน วันที่ 1 ตุลาคม) ทำให้กิจกรรมการซื้อขายยางหยุดลง ส่งผลต่อราคายางอ้างอิงจะมีเพียงตลาด TOCOM และ SICOM เท่านั้น ซึ่งพ่อค้ายางเกือบทุกเจ้ารอราคาอ้างอิงจากตลาดล่วงหน้าของจีน (ตลาดเซี่ยงไฮ้) ในการซื้อขาย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ในการซื้อขายยาง Chongqing บริษัทเทรดดิ้งใหญ่อันดับหนึ่งของจีนซึ่งนำเข้ายางประมาณปีละ 1,500,000 ตัน ประกาศหยุดกิจกรรมการซื้อขายยางเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา และการเลิกกิจการของบริษัท Chongqing ซึ่งเป็นผู้ซื้อยางรายใหญ่ของจีน จึงส่งผลต่อผู้ส่งออกยางของไทย ทำให้ราคายางปรับในทิศทางที่ลดลง อย่างไรก็ตามหลังจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าของจีน (เซี่ยงไฮ้) กลับมาซื้อขาย ราคายางจะขยับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้
นายสุนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการแก้ปัญหาราคายางผันผวนที่เกิดขึ้น เริ่มจากแนวทางระยะสั้น โดยการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 กำหนดให้มีการประกันรายได้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง (เจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทำ และคนกรีดยาง) ที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2562 เบื้องต้นมีเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 1,711,252 ราย (เจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทำ 1,412,017 ราย และคนกรีดยาง 299,235 ราย) คิดเป็นพื้นที่ 17,201,391 ไร่ โดยต้องเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่
โดยให้มีการประกันรายได้ รายละไม่เกิน 25 ไร่ ที่ปริมาณผลผลิตยาง (ยางแห้ง) 240 กิโลกรัม/ไร่/ปี หรือ 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน กำหนดระยะเวลาประกันรายได้ 6 เดือน (เดือนตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563) ซึ่งเงินประกันรายได้ในแต่ละเดือน จะถูกแบ่งระหว่างเกษตรกรเจ้าของสวนยางและคนกรีดยางในสัดส่วน 60 : 40 ราคายางที่ใช้ประกันรายได้ กำหนดจากราคาต้นทุนการผลิตยางแต่ละชนิด โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2561 และเพิ่มรายได้เป็นค่าครองชีพอีก ร้อยละ 7.39 แบ่งตามประเภทยาง ดังนี้ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23 บาท/กิโลกรัม โดยราคากลางจะกำหนดโดยคณะกรรมการกำหนดราคากลางอ้างอิง ซึ่งประกาศทุก 2 เดือน และจะดำเนินการจ่ายเงินประกันรายได้ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ 2 เดือน ต่อ 1 ครั้ง โดยให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง โดยจะเร่งจ่ายเงินให้เกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับสิทธิ์ รอบแรก ในวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2562
ในส่วนของมาตรการเพื่อยกระดับราคายาง ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อนำไปสู่การดูดซับยางออกจากระบบ เกิดการขยายกำลังการผลิต การแปรรูปยาง ผลักดันราคายางให้สูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ให้เกิดความผันผวน ผ่านการดำเนินงาน จำนวน 4 โครงการ ซึ่งขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการ และขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมบางโครงการ ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ณ ที่ตั้งเดิม หรือที่ตั้งใหม่ ให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ำ มุ่งเน้นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ำที่มีมูลค่าสูง เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม ฯลฯ ให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยที่รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการ ร้อยละ 3 ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2559 – 2569 ซึ่งประชุม กนย. เห็นชอบปรับวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท จะทำให้มีปริมาณการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิม 60,000 ตัน/ปี เป็น 100,000 ตัน/ปี โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุน
…