เจาะแผนฟื้นฟู เยียวยาเกษตรกร 5 โครงการ สศก. เผย เกิดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจกว่า 4 หมื่นล้าน

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยช่วงปี 2562 งบประมาณ จำนวน 3,120 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้และลดรายจ่ายในครัวเรือนให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัย ปี 2562 จากพายุ “โพดุล” และ “คาจิกิ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มอบหมายให้ สศก. วิเคราะห์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจการเกษตร จากการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่ง สศก. พบว่า การดำเนินงานตามแผนปฎิบัติการทั้ง 5 โครงการ จะสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร จำนวน 1.08 ล้านครัวเรือน ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 36,881 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,282 % ของงบประมาณที่ใช้ไป ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 40,002 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าการดำเนินงานของแต่ละโครงการ จะส่งผลสำเร็จทางเศรษฐกิจ ดังนี้

1.โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์,      ถั่วเขียว) จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 6,429 ล้านบาท จากการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,147 ล้านบาท เฉลี่ย 51,471 บาท/ครัวเรือน และถั่วเขียว 1,282 ล้านบาท เฉลี่ย 25,654 บาท/ครัวเรือน โดยโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดโอนเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงที่ประสบภัยเสียหายสิ้นเชิง ช่วยเหลือไม่เกิน 20 ไร่ ของพื้นที่เสียหาย อัตราช่วยเหลือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 245 บาท/ไร่ เกษตรกรจะได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการฯ เฉลี่ยครัวเรือนละ 2,450 บาท ส่วนถั่วเขียว 200 บาท/ไร่ เกษตรกรได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการฯ เฉลี่ยครัวเรือนละ 1,600 บาท จากพื้นที่เป้าหมายโครงการฯ เกษตรกร 150,000 ครัวเรือน พื้นที่ 1.4 ล้านไร่

  1. 2.โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว ปีการผลิต2563/64 ส่งผลให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมจากการผลิตข้าวในโครงการฯ 27,894 ล้านบาท จากการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว 63,200 ตัน เฉลี่ยไร่ละ 10 กิโลกรัม เพื่อรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าว รวมทั้งเพื่อคงความสามารถในการค้าและการส่งออกข้าวของประเทศไทย แก่เกษตรกรผู้ประสบฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย 827,000 ครัวเรือน 6.32 ล้านไร่ เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 1,223 บาท/ครัวเรือน
  2. โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง:การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อ ส่งผลให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 1,073 ล้านบาท หรือเฉลี่ยครัวเรือนละ 21,480 บาท จากการสนับสนุนพันธุ์ ปลานิลแปลงเพศ ขนาด 5 – 7 เซนติเมตร จำนวน 800 ตัว/ราย และอาหารสัตว์น้ำนำร่องให้เกษตรกร จำนวน 120 กิโลกรัม/ราย เป้าหมายเกษตรกร จำนวน 50,000 ราย
  3. โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชนส่งผลเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการผลิต รวม4,216 ล้านบาท หรือเฉลี่ยชุมชนละ 21,080 บาท จากการสนับสนุนปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกราม ตามประมาณการแหล่งน้ำชุมชน มีเป้าหมายในการดำเนินการ 1,436 แห่ง จำนวน 200,000 ตัว/แห่ง เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้ชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ปี 2562 รวมทั้งเป็นการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในด้านผลผลิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง
  4. โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกส่งผลให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการผลิต ใน 3 กรณี คือ ไก่ไข่387 ล้านบาท เฉลี่ยครัวเรือนละ 8,081 บาท เป็ดไข่ 361 ล้านบาท เฉลี่ยครัวเรือนละ 7,526 บาท และ ไก่พื้นเมือง 80 ล้านบาท เฉลี่ยครัวเรือนละ 1,669 บาท  โดยสนับสนุนสัตว์ปีก และปัจจัยการผลิต รายการละ 4,850 บาท เลือกได้ครัวเรือนละ 1 รายการ รวม 48,000 ราย เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสานกับการเลี้ยงสัตว์ปีกเป็นอาชีพเสริมลดรายจ่าย

นายระพีภัทร์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานทั้ง 5 โครงการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บูรณาการการทำงาน 4 หน่วยงานในพื้นที่ร่วมกัน ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว กรมประมง และกรมปศุสัตว ซึ่งเริ่มเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคมถึง 10 พฤศจิกายน 2562 ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า โครงการตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง และอุทกภัย ปี 2562 ทั้ง 5 โครงการ เมื่อสิ้นสุดโครงการจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่ง สศก. จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งผลักดันให้การดำเนินโครงการเกิดผลสำเร็จโดยเร็ว