ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
อาชีพเกษตรกรรม หลายคนมองว่าเป็นอาชีพที่ทำแล้วร่ำรวย หลายคนก็บอกอีกว่าอาชีพเกษตรกรรรมไม่ได้ทำแล้วร่ำรวยเท่าอาชีพอื่น แต่ก็สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับครอบครัวได้ สรุปแล้วการทำอาชีพเป็นเกษตรกรจะทำให้ร่ำรวยหรือทำแล้วจนลง ก็คงอยู่ที่ทัศนคติของแต่ละบุคคลไป บางคนทำเพื่อหาความสุข ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก บางคนทำเพื่อเงินตรา สุดแล้วแต่ทางที่เลือกเดิน
คุณชัยวัฒน์ อัมภวา อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ที่ 3 ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์รุ่นใหม่ที่เลือกดำเนินอาชีพเกษตรกรรมตามรอยครอบครัว และเลือกเส้นทางการทำเกษตรเพื่อความสุขมานานกว่า 15 ปี ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนค้นพบความสุข ความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่รัก เงินตราเป็นสิ่งที่รองลงมา
คุณชัยวัฒน์ เล่าว่า ก่อนที่จะมาทำเกษตรตนได้ทำงานเป็นพนักงานโรงงานอยู่ระยะเวลากว่า 2 ปี จึงรู้ว่างานที่ทำอยู่ไม่ใช่ทางที่ชอบ ทำงานอยู่อีกที่แต่ใจคิดถึงแต่บ้านตลอด จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้ต้องลาออกจากงานแล้วกลับมาบ้าน มาเริ่มทำการเกษตร เพราะโดยพื้นฐานครอบครัวเป็นเกษตรกรอยู่แล้ว ได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตเกษตรมาตั้งแต่เด็กๆ จึงเลือกที่จะเดินตามรอยพ่อและพัฒนาที่ทางที่มีอยู่เดิมให้เกิดความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
ใช้พื้นที่ 6 ไร่ ปลูกพืชผสมผสาน
มีพืชผักเมืองหนาว สร้างรายได้หลัก
เจ้าของบอกว่า ปัจจุบันนี้ที่สวนมีพื้นที่ทำการเกษตรอยู่ 6 ไร่ สภาพพื้นที่โดยรอบมีทั้งพื้นที่เนินและที่ลุ่ม มีลักษณะภูมิอากาศที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลูกผักอะไรก็ได้ตลอด จะมีช่วงที่ผลัดเปลี่ยนปลายฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝนก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ อากาศเปลี่ยน พายุเข้า ทำให้ไม่สามารถปลูกพืชได้ ลักษณะการจัดสรรพื้นที่ทำการเกษตรจึงต้องทำในรูปแบบผสมผสาน ปลูกข้าวบนพื้นที่เนินน้ำท่วมไม่ถึง ปลูกพืชผักตามฤดูกาล เช่น ถั่วฝักยาว บวบเหลี่ยม แตงกวา พริกขี้หนู และพืชผักเมืองหนาว เช่น บร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา ผักสลัด เป็นตัวสร้างรายได้หลัก ปลูกหมุนเวียนกันเป็นรุ่น รุ่นละ 3 เดือน สลับกันไป
โดยที่สวนมีความโดดเด่นด้านการทำเกษตรธรรมชาติ เน้นการพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด พยายามใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นเป็นหลัก นำมาประยุกต์ใช้ อาศัยปัจจัยภายนอกให้น้อยที่สุด และผลิตพืชตามฤดูกาลไม่ฝืนธรรมชาติก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคแมลงหรือโรคพืชต่างๆ ไปได้มาก

ขั้นตอนการปลูกผักเมืองหนาวก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก
- สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงในการปลูกผักเมืองหนาว คือ ต้องศึกษาดูสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การปลูกพืชผักเมืองหนาวมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งดิน ฟ้า อากาศ และช่วงฤดูกาล เพราะผักเมืองหนาวไม่ชอบฤดูร้อนและฤดูฝนอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไร เพราะทุกสิ่งต้องดำเนินไป ฤดูกาลก็เปลี่ยนผันไปตามธรรมชาติซึ่งข้อนี้อาจจะต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของผู้ปลูก พยายามเลือกปลูกผักให้เหมาะสมกับฤดูกาล ไม่ต้องฝืนธรรมชาติมากจะได้ไม่ต้องดูแลเรื่องโรคมากมาย
- ขั้นตอนการเตรียมดิน อันดับแรกต้องใช้รถไถพรวนดินตีดินบนพื้นที่ต้องการปลูกทั้งหมด แล้วใช้รถยกร่องเตรียมแปลง
- วางระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์
รดน้ำระบบสปริงเกลอร์ - หลังจากวางระบบน้ำเสร็จ นำปุ๋ยหมักที่เตรียมไว้ลงไปในพื้นที่เตรียมดิน จากนั้นนำพลาสติกมาคลุมดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยดินที่คลุมต้องควบคุมให้มีความชื้นอยู่ อย่าปล่อยให้ดินแห้งจะปลูกไม่ได้ผล
- หลังจากคลุมผ้าพลาสติกไว้ครบ 2 สัปดาห์ ให้นำพลาสติกออกแล้วขุดหลุมก่อนลงต้นกล้าปลูก ให้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักอีก 1 ครั้ง
- วิธีการดูแล จะคล้ายกับการปลูกผักทั่วไป ส่วนมากที่สวนปลูกแบบปลอดสารพิษ จะใช้น้ำหมักสูตรต่างๆ ที่ไปเรียนมาจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเกษตรมาประยุกต์ใช้ เช่น น้ำหมักปลา น้ำหมักพืชต่างๆ และใช้สารเร่ง พด. ของกรมพัฒนาที่ดินเป็นหลัก
- การรดน้ำทุกวัน แบ่งรดตามช่วงที่ผักแต่ละชนิดต้องการ เพราะพืชผักแต่ละชนิดต้องการน้ำปริมาณและเวลาไม่เท่ากัน จำเป็นต้องแยกโซนปลูกตั้งแต่ทีแรกคือ ตระกูลกะหล่ำ จะปลูกด้วยกัน ตระกูลผักสลัดก็แยกปลูกคนละแปลง
- อายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ทั้งกะหล่ำดอก บร็อกโคลี่ ใช้เวลา 45 วัน หลังย้ายกล้า ส่วนผักสลัดอยู่ที่ 45-60 วัน ขึ้นอยู่กับพันธุ์และช่วงฤดูกาลด้วย
รายได้ พืชผักเมืองหนาวถือเป็นพืชที่สร้างรายได้ดี เพราะค่อนข้างมีราคาสูง อย่างบร็อกโคลี่ กิโลกรัมละ 50 บาท กะหล่ำดอก กิโลกรัมละ 40 บาท ถั่วลันเตา กิโลกรัมละ 80 บาท ผักสลัด กิโลกรัมละ 80-150 บาท คิดเป็นรายได้ต่อรุ่นการปลูก อย่างละ 600 ต้น จะมีรายได้ ชนิดละ 20,000-30,000 บาท
การตลาด เพราะผลผลิตที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ จึงไม่มีความกังวลเรื่องตลาด สินค้ามีคุณภาพ ลูกค้าทุกคนที่เคยเข้ามาซื้อที่สวนเป็นอันต้องติดใจทุกราย เคยซื้อไปแล้วกลับมาซื้อซ้ำอีก จนกลายเป็นลูกค้าประจำ เพราะที่แปลงสามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า โดยใช้แนวคิดเกษตรเชิงท่องเที่ยวเพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ขั้นตอนการปลูกผัก ตั้งแต่กระบวนการแรกจนถึงกระบวนการสุดท้าย และได้เก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้รู้จักกับการทำเกษตรธรรมชาติ และได้รู้จักผลผลิตที่ได้จากแปลงของเรามากขึ้น เมื่อลูกค้ามั่นใจในผลผลิตแล้ว ลูกค้าจะวิ่งหาเราเอง ทั้งมาที่หน้าสวน และสั่งผ่านออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาตลาดให้เสียเวลา ใช้ระบบทำเกษตรแบบมีส่วนร่วมกับลูกค้า ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่ยั่งยืน

เป็นเกษตรกร แม้ไม่ร่ำรวยที่สุด
แต่ทำให้เป็นคนที่มีความสุขที่สุด
ตั้งแต่การได้เริ่มเข้ามาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว ก็มีความภาคภูมิใจเกินร้อยกับอาชีพนี้ เพราะเกิดและโตมากับพื้นฐานครอบครัวที่เป็นเกษตรกร ไม่มีอะไรที่น่าอาย กลับภูมิใจด้วยซ้ำ การทำการเกษตรถือเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ถึงแม้ว่าทำแล้วจะไม่ร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น แต่ถ้าถามถึงความสุขที่ได้ดูแลครอบครัว และสุขภาพที่ดีได้กินผักที่ตัวเองปลูก อาชีพเกษตรกรรมก็ถือว่าตอบโจทย์ในด้านของความสุขได้ดีไม่แพ้อาชีพไหนๆ แน่นอน คุณชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจเข้าเยี่ยมชมแปลงผักเมืองหนาว ติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 081-032-3356




พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน, มติชนสุดสัปดาห์ และศิลปวัฒนธรรม ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่