เปิดไร่ “เนสกาแฟ” ไปดูวิธีผลิตกาแฟ ตั้งแต่เด็ดเมล็ดจากต้นจนถึงคั่ว

กาแฟรสชาติดีต้องมาจากสถานที่ดีด้วย แต่ความใส่ใจน่าจะเป็นหัวใจสำคัญในทุกกระบวนการผลิต บนพื้นที่กว่า 85 ไร่ บนดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เป็นที่ตั้งของ “ไร่เนสกาแฟ” ยี่ห้อกาแฟดังที่คุ้นเคย บรรยากาศเย็นสบายในช่วงต้นปี มองเห็นต้นกาแฟเรียงรายกันเป็นระเบียบแบบขั้นบันไดมองดูแล้วสบายตา

คณะผู้บริหารเนสกาแฟ อภิวัฒน์ อิริยาภิชาติŽ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มธุรกิจเนสกาแฟพรีเมี่ยม และ สุจิน สุดสะอาดŽ ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนการผลิต กลุ่มธุรกิจกาแฟและครีมเทียม พาคณะสื่อมวลชนเดินชมไร่กาแฟ พาไปดูตั้งแต่กรรมวิธีการปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถันกว่าจะออกมาเป็นเมล็ดกาแฟที่หอมกรุ่นในแก้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ไร่เนสกาแฟที่ดอยตุงแห่งนี้ ใช้วิธีการปลูกแบบขั้นบันได ช่วยลดการกัดเซาะการพังทลายของหน้าดินได้เป็นอย่างดี

วันนี้เรายังมีโอกาสได้เก็บเมล็ดกาแฟสด ๆ จากไร่

ก่อนอื่นทุกคนจะต้องสวมถุงมือให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันมดแมลงที่อยู่ตามต้นกาแฟ และใส่รองเท้าบูต เนื่องจากพื้นค่อนข้างชื้น และเพื่อความสะดวกในการเก็บมากขึ้น

สำหรับวิธีการเก็บเมล็ดกาแฟ สามารถเก็บได้ตั้งแต่เมล็ดสีเหลืองจนถึงสีแดง แต่ถ้าจากแดงจนกลายเป็นสีดำ แบบนี้ถือว่าสุกเกินไป เพราะช่วงของเมล็ดกาแฟที่ให้รสชาติดีที่สุดคือเมล็ดที่สุกเต็มที่และมีสีแดงสด

เมล็ดกาแฟที่คณะสื่อมวลชนได้มีโอกาสเก็บในวันนี้เรียกว่า กาแฟเชอรี่ หลังจากที่เก็บเมล็ดกาแฟมาเรียบร้อยแล้วก็มาถึงขั้นตอนการคัดล้าง ทำความสะอาด และเอาผลกาแฟที่เราเก็บมาลอยน้ำ เพื่อคัดผลที่ไม่ได้คุณภาพออกไป

เมล็ดกาแฟที่ลอยน้ำจะคัดทิ้ง เลือกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่จมน้ำเท่านั้น

หลังจากคัดเมล็ดกาแฟได้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอน การปอกเปลือกและการล้างเมือก โดยไร่แห่งนี้จะทำการคัดแยกแล้วนำลงเครื่องปอกเปลือก การทำงานของเครื่องนี้จะเป็นในลักษณะของการบี้เอาเปลือกออก จะได้เมล็ดกาแฟประกบกันอยู่สองเม็ด โดยนอกเปลือกหุ้มเมล็ดจะเป็นเมือก ต้องขัดออกให้หมด ไม่เช่นนั้นจะทำให้มีปัญหาตอนที่เรานำไปสีเป็นเมล็ดกาแฟ และจะทำให้มีกลิ่น เหมือนไม่สะอาด

ถ้าไม่มีเครื่องจักรวิธีการกำจัดเมือก จะทำได้โดยการหมักธรรมชาติประมาณ 12 ชั่วโมง แล้วปล่อยน้ำออกและทิ้งให้แห้งอีก 12 ชั่วโมง แล้วนำไปแช่น้ำอีก 24 ชั่วโมง และเปลี่ยนน้ำหมักใหม่อีก 24 ชั่วโมง รวม ๆ แล้วใช้เวลาหมักทั้งหมดประมาณ 60 ชั่วโมง

จากนั้นจึงนำไปตากให้แห้งอย่างน้อย 7-10 วัน แต่ถ้าอากาศเย็นหรืออากาศชื้น ต้องใช้เวลาประมาณ 15 วัน ซึ่งตากเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนจะต้องเก็บเพื่อไม่ให้โดนน้ำค้าง พอแห้งก็จะกลายเป็นเมล็ดกาแฟ แล้วนำไปสีเพื่อเอาเปลือกหุ้มเมล็ดนี้ออกก่อนจะนำไปคั่ว

หลังจากที่ชมไร่กาแฟรวมถึงกรรมวิธีการผลิตแล้ว ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มธุรกิจเนสกาแฟพรีเมี่ยม ยังได้แนะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ “เนสกาแฟ โกลด์” จากกาแฟพันธุ์อราบิก้า ซึ่งต้องผ่านกระบวนการคัดสรรเมล็ด และทำการคั่วบดโดยผู้ชำนาญการจากเนสกาแฟ รวมถึงขั้นตอนการใส่นมเพื่อทำให้รสชาติออกมาดีที่สุด ซึ่งต้องผ่านการวิจัยก่อนจะถึงมือผู้บริโภคจริง ๆ

“การคั่วและบดกาแฟถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการคัดสรรกาแฟชั้นเลิศ ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการคั่วและบดเมล็ดกาแฟให้ผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จากเมล็ดกาแฟดิบจะถูกคั่วจนเปลี่ยนเป็นกาแฟเมล็ดสีน้ำตาลทอง ต้องอาศัยความชำนาญเพื่อดึงเอกลักษณ์เฉพาะของเมล็ดกาแฟออกมาในเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสม” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส กลุ่มธุรกิจเนสกาแฟพรีเมี่ยมอธิบายเพิ่ม

คณะนี้มีโอกาสได้ชิม “เนสกาแฟ โกลด์” ของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด รสชาติใหม่ก่อนใคร มีให้เลือก 3 รสชาติ ได้แก่ คาปูชิโน่, ลาเต้ มัคคิอาโต้ และไวท์เอสเพรสโซ เพื่อเป็นการตอบโจทย์ของคนไทยในการเพิ่มรสชาติ และได้ผ่านกระบวนการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจากกาแฟคุณภาพ และการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมนวัตกรรมใหม่ในการเพิ่มฟองให้มากขึ้น

ได้ชมทั้งไร่และดูกระบวนการผลิตปิดท้ายด้วยการชิมกาแฟ เรียกว่าทริปกาแฟคราวนี้ได้สัมผัสรสชาติกาแฟอย่างจริง…จริง

 

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์