โลดทะนงแดง สมุนไพรแก้พิษงู

จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประเทศไทย มีผู้ป่วยถูกงูกัดประมาณ 7,000 ราย ต่อปี ซึ่งในประเทศไทยพบงูพิษหลากหลายชนิด โดยจะแบ่งเป็นหลักๆ ตามระบบที่ถูกพิษ ได้แก่ พิษต่อระบบประสาท (neurotoxin) เช่น งูเห่า งูจงอาง พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin) เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา พิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) เช่น งูทะเล พิษอ่อน

สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด ขั้นแรกคือ การยืนยันว่าถูกงูพิษกัด ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักชนิดของงูหรือการนำงูพิษมาด้วย หรือการดูรอยเขี้ยว ดูอาการ และอาการแสดงจำเพาะของการถูกงูพิษกัด การทำ serodiagosis จากตัวอย่างเลือด แต่อย่างไรก็ตาม งูพิษจะไม่ปล่อยพิษทุกครั้งหลังฉกกัด เพราะพิษของงูมีไว้ล่าเหยื่อ หาอาหาร

การปฐมพยาบาล ควรให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ถูกกัด ล้างแผลให้สะอาด นำงูไปโรงพยาบาลด้วยหากทำได้ แต่ในกรณีที่งูหนีไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม เนื่องจากแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ ห้ามดูดพิษงูด้วยปากหรือกรีดแผล ในระบบการแพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไป ถ้าคนไข้ถูกงูพิษกัด แพทย์จะยังไม่ฉีดเซรุ่มให้ ต้องรอดูอาการจนกว่าจะมีอาการทางระบบต่างๆ ก่อน เช่น ถ้าถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด คนไข้จะมีอาการหนังตาตก แขน ขา อ่อนแรง หายใจลำบาก พูดไม่ชัด

หากเป็นเช่นนี้จึงจะได้รับการฉีดเซรุ่มให้ เพราะเนื่องจากเซรุ่มอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ นอกจากนี้ เซรุ่มผลิตได้ยาก มีราคาแพง เก็บได้ไม่นาน เพราะฉะนั้น ต้องมีข้อบ่งชี้ชัดก่อนใช้ยา แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีใครอยากรอให้เกิดอาการก่อนแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้ท่านผู้อ่านรู้จักสมุนไพรสำหรับรักษาพิษงู สามารถใช้รักษาได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการก่อน

สำหรับสมุนไพรรักษาพิษงูที่ได้ถูกรายงานไว้ มีถึง 40 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ โลดทะนงแดง หมอพื้นบ้านได้มีการใช้มาอย่างยาวนาน เป็นตำรับแก้พิษสัตว์กัดต่อยและพิษจากงู โดยเฉพาะงูพิษที่ทำให้เกิดพิษต่อระบบประสาท

โลดทะนงแดง และ โลดทะนงขาว เป็นพืชวงศ์ Euphorbiaceae ความแตกต่างระหว่างต้นไม้ทั้งสองชนิดคือ สีของเปลือกหุ้มราก ถ้าเป็นสีดำ เรียกว่า โลดทะนงขาว แต่ถ้าเป็นสีแดง เรียกว่า โลดทะนงแดง เป็นไม้ที่เจริญงอกงามในฤดูฝน ถึงฤดูแล้งต้นมักตายแล้วเกิดหน่อใหม่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แต่เราจะเห็นการใช้โลดทะนงแดงมากกว่า เพราะว่าโลดทะนงขาวเป็นไม้หายาก

ตำรับโลดทะนงแดง รักษาพิษงูที่มีการเผยแพร่จากโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์ เป็นตำรับที่มีการใช้จริงในโรงพยาบาล โดยใช้หลักการรักษาแบบผสมผสาน จะมี หมอเอียะ สายกระสุน หมอพื้นบ้านร่วมรักษาคนไข้ที่ถูกงูกัดกับทีมแพทย์ในโรงพยาบาล ซึ่งใช้สมุนไพร 3 ชนิด คือ รากต้นโลดทะนงแดง หมาก และมะนาว

โดยได้เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ พบว่า ผู้ป่วย 11 ราย เป็นงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด 9 ราย และเป็นงูที่มีพิษต่อระบบเลือด 1 ราย และสรุปไม่ได้ 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดมีระดับความรุนแรงของอาการน้อย ใช้รากของต้นโลดทะนงแดงและผลหมาก นำมาฝนกับหินลับมีด บีบน้ำมะนาวใส่ เป็นตัวผสานยาทั้งสองเข้าด้วยกัน นำมาพอกบริเวณแผลที่ถูกงูพิษกัด และผสมกับน้ำสะอาดประมาณครึ่งแก้ว ให้ผู้ป่วยดื่มเพื่อขับพิษงูจากภายในร่างกาย

หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มยาสมุนไพรไประยะหนึ่ง จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ซึ่งเป็นผลจากยาสมุนไพร ผลการรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ 8 ราย นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียงวันเดียว ผู้ป่วย 5 ราย เกิดอาการอาเจียนหลังจากกินยาสมุนไพรและหยุดภายใน 1-3 ชั่วโมง กลุ่มที่อาเจียนนอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 2.4 วัน กลุ่มที่ไม่อาเจียนนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยเพียง 1 วัน ผู้ป่วยที่เกิดพิษต่อระบบประสาทอาเจียนนาน 180 นาที และเกิดพิษต่อระบบเลือด อาเจียนเฉลี่ยนาน 21.5 นาที

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยต่อยอดไปอีกเกี่ยวกับผลการรักษา คนไข้ที่ถูกงูพิษกัดตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก (นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี) พบว่า การใช้สมุนไพรรักษามีอัตราการหายอยู่ที่ 97% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 3% แต่ถ้าเป็นคนไข้ที่ไม่ได้รับสมุนไพร ใช้แต่เซรุ่มและยา อัตราการหายอยู่ที่ 87% อัตราการส่งต่ออยู่ที่ 11% งานวิจัยนี้เป็นงานที่ยืนยันว่า สมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์และสามารถรักษาพิษงูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากทั้งหมดที่เล่ามาคงสรุปได้ว่า รากโลดทะนงแดง เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประสิทธิภาพในการรักษาพิษงูได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณข้อมูล จาก ภก.ณัฐดนัย มุสิกวงศ์ คอลัมน์พืชใกล้ตัว อภัยภูเบศรสาร ปีที่ 12 ฉบับที่ 139