ผู้เขียน | สุรเดช สดคมขำ |
---|---|
เผยแพร่ |
ดอกกุหลาบไม่เพียงให้ความสวยงามไว้เชยชมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าได้หลายแบบ และที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ขณะนี้นั้นก็คือ ชากุหลาบนั้นเอง
คุณนพเก้า จันโย ชื่นชอบของการปลูกกุหลาบ จึงได้นำกุหลาบที่มีดอกใหญ่สวยงาม มาพัฒนาเป็นชากุหลาบที่มีกลิ่นหอม โดยปลูกในระบบอินทรีย์จึงช่วยให้สินค้ามีความปลอดภัย และลูกค้าสามารถนำชาจากดอกกุหลาบไปชงดื่มได้อย่างมั่นใจ เพราะมีความปลอดภัยทุกกระบวนการผลิตที่มีความใส่ใจในทุกขั้นตอน
คุณนพเก้า เล่าว่า การทำเกษตรเรียนรู้ตั้งแต่ครั้งสมัยคุณปู่คุณย่า ต่อมาเมื่อมีโอกาสรับช่วงต่อ จึงได้กลับมาอยู่บ้านเกิดอย่างเต็มตัว และทำเกษตรแบบปลอดสารพิษเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด โดยมีการปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบเดิมๆ ที่มักพึ่งพาการใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว มาทำแบบไร้สารเคมีปลอดภัยทั้งผู้ทำและสินค้าที่ผลิต
“พอต้องมาอยู่บ้านซึ่งมีการทำเกษตรอยู่แล้ว เลยคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะยั่งยืน และไม่ทำลายสุขภาพตัวเราด้วย ก็เลยตัดสินใจที่จะทำนาอินทรีย์และพืชอื่นๆ ที่เป็นอินทรีย์ ทีนี้กุหลาบเราชอบ และซื้อสะสมพันธุ์ไว้เยอะพอสมควร จึงมองว่าต้องนำมาทำให้เกิดประโยชน์ ซึ่งชากุหลาบค่อนข้างได้รับความนิยม ก็เลยเห็นช่องทางการทำตลาด และหาสายพันธุ์ที่เหมาะสมมาปลูก เพื่อเก็บดอกนำมาอบแห้งเพื่อผลิตทำชากุหลาบ” คุณนพเก้า บอก
การปลูกกุหลาบให้ได้ดอกที่มีคุณภาพนั้น คุณนพเก้า บอกว่า ต้องเตรียมแปลงปลูกให้มีความพร้อมโดยในขั้นตอนแรก จะเตรียมแปลงด้วยการใส่ปุ๋ยคอกรองพื้นลงไป จากนั้นยกแปลงปลูกให้มีความสูงพอประมาณ ความกว้างระหว่างแปลงอยู่ที่ 1 เมตร ส่วนความยาวไม่กำหนดตายตัว สามารถปลูกได้ตามขนาดของพื้นที่ ระยะห่างระหว่างต้นกุหลาบอยู่ที่ 60-80 เซนติเมตร ส่วนสายพันธุ์ของกุหลาบที่เลือกใช้ทำชา จะเป็นกุหลาบสายพันธุ์ไทยหลักๆ อยู่ 2 คือ มอญไกลกังวล และกุหลาบมอญแดงประเสริฐ
ต้นพันธุ์เป็นกุหลาบที่ผ่านการติดตาอายุอยู่ที่ 4-5 เดือน มาปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้ ระยะนี้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หลังปลูกลงแปลงได้ 45 วัน ต้นกุหลาบจะเริ่มออกดอกมาให้เห็น ช่วงนี้จะเด็ดดอกทิ้งทั้งหมด จากนั้นดูแลต่อไปอีก 45 วัน กุหลาบจะออกดอกชุดใหม่ หลังจากนี้สามารถเก็บดอกในทุกๆ วัน มาอบแห้งตามกรรมวิธีเพื่อเป็นชากุหลาบ
“การดูแลต้นหลังออกดอกจะรดน้ำวันละ 1 ครั้งเหมือนเดิม พร้อมกับใส่ปุ๋ยคอก และพรวนดินเดือนละ 1 ครั้ง ส่วนในเรื่องของการดูแลโรคและแมลงศัตรูพืชนั้น เนื่องจากเราเน้นทำอินทรีย์ จะไม่มีการใช้สารเคมีทุกชนิดภายในแปลงปลูก เมื่อเห็นมีโรคหรือแมลงศัตรูพืช ก็จะกำจัดต้นนั้นออกจากแปลงทันที เพื่อไม่ให้โรคและแมลงศัตรูพืชเข้าไปทำลายกุหลาบต้นอื่นๆ ภายในแปลง” คุณนพเก้า บอก
การเก็บดอกกุหลาบนำมาอบแห้งเพื่อทำชานั้น คุณนพเก้า บอกว่า ต้องเก็บดอกกุหลาบในช่วงเช้าและบ่ายของทุกวัน โดยเลือกดอกที่มีความสมบูรณ์และบานกำลังเหมาะสมเท่านั้น หากเก็บกุหลาบที่ดอกบานมากเกินไป ดอกจะโรยและหลุดร่วง ไม่สวยงาม นำดอกกุหลาบที่เก็บมาทั้งหมด ทำตามขั้นตอนการอบ ในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิอยู่ที่ 50-55 องศาเซลเซียล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
กุหลาบที่ตัดดอกและผ่านการอบแห้งเพื่อนำไปทำชา สามารถเพิ่มมูลค่าในเรื่องของราคา ได้ดีกว่าการปลูกเพื่อตัดดอกแบบนำไปร้อยพวงมาลัย หรือจำหน่ายเป็นดอกกุหลาบสดตัดดอกแบบสมัยก่อน ซึ่งราคากุหลาบอบแห้งที่เป็นดอกสมบูรณ์หลังผ่านการอบ ราคาส่งขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 5,000 บาท และขนาดถุงน้ำหนัก 30 กรัม ราคาขายอยู่ที่ถุง 250 บาท
“ตั้งแต่มาทำเกษตรอินทรีย์ทำเป็นกุหลาบดอกไม้ที่เราชอบ รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเราได้ และยิ่งยุคปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดียค่อนข้างส่งผลต่อการทำตลาดได้ดี จึงทำให้เราทำตลาดได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ไกลออกไป แต่สินค้าของเราสามารถส่งตรงถึงมือลูกค้าในทุกๆ ครั้งที่สั่งซื้อชากุหลาบจากสวนของเรา” คุณนพเก้า บอก
สำหรับท่านใดสนใจการปลูกกุหลาบหรืออยากรับความหอมสดชื่นจากการได้ดื่มชากุหลาบหอมๆ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณนพเก้า จันโย อยู่บ้านเลขที่ 115 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 082-763-6151
……………………….
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2567