SCG เดินหน้าพิทักษ์ทะเล บูรณาการจากต้นทางถึงปลายทาง : จัดการขยะบก-ทุ่นกักขยะลอยน้ำ- บ้านปลา ขานรับวันทะเลโลก “รู้รักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รณรงค์แก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างจริงจังภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ท้องทะเลไทยกลับมางดงาม ใสสะอาด เป็นที่พักพิงของสัตว์น้ำน้อยใหญ่ รวมทั้งมนุษย์อย่างเราๆ ด้วย สาเหตุหลักของการเกิดปัญหาขยะทะเลนั้น มาจากการจัดการขยะบกที่ไม่ถูกต้อง เกิดการหลุดรอดไหลผ่านแม่น้ำ ลำคลองสาขาต่างๆ กว่า 9,000 สาย จนไปรวมตัวกันอยู่ที่ทะเล จากคำขวัญวันทะเลโลกปี 2564 ที่ว่า “รู้รักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน” (The Ocean: Life and Livelihood) สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิถีมนุษย์กับความสมบูรณ์ของท้องทะเล หากมนุษย์ยังอยู่ในวิถีเดิมๆ ที่ปราศจากความรับผิดชอบ ทิ้งขยะไม่ถูกที่ ปล่อยปละละเลย ท้องทะเลก็อาจจะกลายเป็นบ่อขยะในที่สุด เราอยากให้ลูกหลานได้เห็นและเผชิญกับบ่อขยะในทะเลอย่างนั้นหรือ

สำหรับเอสซีจี “การรักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน” นั้น จำเป็นต้องบูรณาการจากต้นทางถึงปลายทาง นั่นคือ เริ่มจากการจัดการขยะบนบกให้ถูกต้องตามวิถีชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ – ป้องกันขยะหลุดรอดลงทะเลด้วยนวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ – เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพด้วยนวัตกรรมบ้านปลา

เอสซีจีมุ่งคิดค้นพัฒนานวัตกรรมที่ประยุกต์วัสดุพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานชนิดพิเศษ เพื่อตอบโจทย์การกักขยะในแม่น้ำลำคลองก่อนไหลลงสู่ท้องทะเล โดยได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนกลายมาเป็นนวัตกรรม “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” รุ่น 1 (SCG – DMCR Litter Trap: Generation 1) ซึ่งได้นำท่อชนิด PE100 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาทำงานร่วมกับวัสดุคล้ายเสื้อชูชีพ สามารถรองรับขยะได้กว่า 700 กิโลกรัม เพื่อนำไปติดตั้งบริเวณแม่น้ำลำคลอง

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

“เอสซีจีดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ธุรกิจยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มุ่งดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม อย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน  โดยเอสซีจีได้ร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ ดูแลชายฝั่งทะเลระยองมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี ด้วยการใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญของธุรกิจมาพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคม ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ออกแบบเพื่อช่วยจัดการปัญหาขยะที่หลุดรอดลงทะเล โดยได้ออกแบบให้ทนต่อสภาพดินฟ้าและอากาศ ซึ่งได้นำทุ่นกักขยะรุ่นที่ 1 ไปวางจุดแรกที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดระยอง พบว่า มีประสิทธิภาพมาก สามารถกักขยะไว้ในทุ่นได้จำนวนมาก” น้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารแบรนด์และกิจการเพื่อสังคม ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี กล่าว

ไม่หยุดพัฒนา “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” ให้ทรงประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การทำงานด้านนวัตกรรมไม่เคยสิ้นสุด เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนาทุ่นกักขยะลอยน้ำให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยรับฟังข้อคิดเห็นจากกลุ่มผู้ทำงานในพื้นที่ และจากการสำรวจหน้างานด้วยตนเอง พบว่า ตัวทุ่นลอยน้ำที่ทำหน้าที่คล้ายชูชีพใน Litter Trap รุ่นที่ 1 ไม่สามารถทนแดดทนฝนได้นาน ทำให้ต้องคอยเปลี่ยนวัสดุใหม่บ่อยๆ จึงนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรม “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ จาก HDPE-Bone” (SCG-DMCR Litter Trap Generation 2. โดยประยุกต์ทุ่นที่เอสซีจีออกแบบเพื่อใช้กับโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำสำหรับผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Floating Solar) มาทดลองใช้กับทุ่นกักขยะ ทำให้มีคุณสมบัติทนต่อกระแสน้ำ ทนแสงแดดได้ในระยะยาว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงช่วยให้ทุ่นกักขยะรุ่นใหม่ตอบโจทย์การใช้งานได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประกอบง่าย สะดวกในการขนย้าย และหากเสื่อมสภาพหรือได้รับความเสียหายยังสามารถนำมารีไซเคิลได้ทั้งหมดอีกด้วย

ปัจจุบัน เอสซีจี ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตั้งทุ่นกักขยะลอยน้ำรวมกว่า 37 ชุด ใน 17 จังหวัด สามารถลดปริมาณขยะลงสู่ทะเลได้กว่า 71 ตัน

♦ พลังจาก 3 ฝ่าย ปัจจัยความสำเร็จจัดการปัญหาขยะ

ภารกิจด้านจัดการขยะท้องทะเลไม่อาจจะทำได้เพียงข้ามวัน หรือจบเพียงแค่ผลิตทุ่นกักขยะ แต่ยังต้องอาศัยกลไกความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาสังคม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จะเป็นผู้สำรวจข้อมูลพื้นที่ กำหนดจุดติดตั้ง ส่วนชุมชนในพื้นที่ช่วยจัดการขยะที่กักได้จากทุ่นฯ เพื่อนำไปคัดแยกและนำไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น ขยะอินทรีย์นำไปทำเป็นปุ๋ย พลาสติกใช้แล้วหรือวัสดุที่รีไซเคิลได้ ไปจำหน่ายสร้างรายได้ เป็นต้น

“กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้รับความร่วมมือทั้งจากเอสซีจี และชุมชนในพื้นที่ โดยร่วมกันตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา พัฒนานวัตกรรม จนไปถึงการลงมือแก้ไข โดยหลังจากที่ทาง ทช. ติดตั้งทุ่นกักขยะในแต่ละพื้นที่แล้ว จะมีการสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการดึงชุมชนเข้ามาร่วมเก็บขยะ และคัดแยกตามระบบสากล ICC (International Coastal Cleanup) ด้วยการชั่งน้ำหนักขยะ พร้อมจดบันทึก เพื่อวิเคราะห์ว่าส่วนใหญ่แล้วขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือชนิดอะไร มากน้อยแค่ไหน นำไปสู่การบริหารจัดการร่วมกันต่อไป” นายวิชัย มณีเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 จังหวัดระยอง กล่าว

เพื่อแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน เอสซีจี ได้ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และช่วยหาแหล่งปลายทางของขยะให้กับชุมชนด้วย หนึ่งในชุมชนที่เอสซีจีได้ร่วมขับเคลื่อนคือ กลุ่มวิสาหกิจอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชุมชนที่อยู่ใกล้ปากน้ำ เพื่อนำขยะที่รีไซเคิลได้ไปจำหน่ายเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป เช่น ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระป๋อง ในขณะเดียวกัน เอสซีจีได้สนับสนุนให้ชุมชนรู้จักการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง จนได้รับการยกระดับให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้การจัดการขยะ” สร้างวิถีชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ ภายในชุมชน สร้างมุมมองใหม่ให้เห็นคุณค่าของขยะ

นางสาวกนกกร จำปาทอง ประธานวิสาหกิจอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน เผยว่า “เพราะท้องถิ่นใคร ใครก็ต้องรัก เราต้องใช้ชีวิตและทำมาหากินอยู่ที่นี่ เราเห็นในน้ำมีขยะที่มากขึ้นทุกวัน จึงเกิดการรวมตัวกันจากจิตสำนึกของพวกเรา โดยกลุ่มอาสาสมัครจะนัดกันในวันที่น้ำขึ้น เพราะจะมีขยะเข้าไปติดในทุ่นอย่างแน่นอน แล้วจึงเอาเรือออกไปและใช้สวิงช้อนขยะจากในทุ่นกักขยะใส่ตะกร้า และนำมาคัดแยกบนบก แต่ละครั้งสามารถเก็บขยะได้มากกว่า 500 กิโลกรัม ซึ่งช่วยทุ่นแรงเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องไปพายเรือเก็บตามข้างทางเหมือนเมื่อก่อน”

♦ ความร่วมมือระดับโลก จัดการขยะทะเล ตามหลัก Circular Economy

จากความพยายามและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน สู่การขยายเครือข่ายระดับโลกอย่าง The Ocean Cleanup ซึ่งมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันขยะจากแม่น้ำไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทร จากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยจะนำ The InterceptorTM มาติดตั้งในแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับดักจับขยะก่อนไหลลงสู่ทะเล ความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยสามารถเก็บข้อมูลขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อนำไปศึกษาความเป็นไปได้ในการนำขยะจากแม่น้ำมาสร้างประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

“ข้อดีของการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือคือ ทำให้เกิด Impact มากขึ้น และ Speed ดีขึ้น เราสามารถนำความเก่งและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาต่อยอดซึ่งกันและกันยั่งยืน เช่น ทาง ทช. มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติหลายด้าน ส่วนเอสซีจีมีวัสดุและนวัตกรรมที่ช่วยตอบโจทย์ ชุมชนมีพลังขับเคลื่อนภายในพื้นที่ ผนวกกับเครือข่ายการทำงานทั้งในและต่างประเทศ เมื่อนำมาบูรณาการร่วมกัน จะช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างยั่งยืน” น้ำทิพย์ กล่าว

น้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ

♦ ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

โครงการบ้านปลาเอสซีจี พื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลกว่า 47 ตารางกิโลเมตร ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลกว่า 172 ชนิด ด้วยโครงสร้างบ้านปลาที่ถูกคิดค้นออกแบบมาอย่างดี ประกอบกับการใช้ท่อ PE100 ที่ปลอดภัยและมีพื้นผิวเอื้อต่อการอาศัยของสัตว์น้ำทั้งเพรียงและหอย ส่งผลให้บ้านปลาถูกปกคลุมไปด้วยสัตว์น้ำมากมาย ปลาน้อยใหญ่เข้ามาใช้เป็นแหล่งพักอาศัยและหลบภัย การเพิ่มขึ้นของปริมาณสัตว์น้ำอย่างสมดุล ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง สร้างสมดุลสู่ระบบนิเวศ และเป็นเสมือนคลังทรัพยากรในทะเลที่ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้อย่างยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน

หากเราจะรักษา “ทะเล” ให้คงความสวยงาม และเป็นแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่าสู่รุ่นต่อๆ ไป เราต้องปิดฉากขยะทะเลที่รุ่นของเรา ด้วยวิถีชีวิตใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนความคิดจาก Me เป็น We มองเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัว เรื่องเล็กๆ ใกล้ๆ ตัว เช่น การคัดแยกขยะในบ้าน การทิ้งขยะให้ถูกที่ แต่ผลลัพธ์ช่างยิ่งใหญ่ เปลี่ยนโลกใบนี้ได้ด้วยสองมือเรา

ผู้ที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการขยะ สามารถติดตามได้ที่ https://www.scg.com/sustainability/circular-economy/ และสามารถติดตามข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel