ธวัลรัตน์ คำกลาง ปลูกสวนป่า 24 ไร่ มีเงินส่งลูกเรียนจบปริญญาตรีแบบสบายๆ

“แรกๆ ใครก็หาว่าบ้า มีที่ดินดีๆ เอามาปลูกสวนป่า ปลูกไปเมื่อไรจะโต เชื่อสิยังไงก็ไปไม่รอด” คำพูดเหล่านี้  “คุณธวัลรัตน์ คำกลาง” หญิงแกร่งคนนี้ ไม่เคยลืม แต่ ณ ปัจจุบัน คำพูดสบประมาทเหล่านี้ ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง หากคนเรามุ่งมั่นและมีแบบแผน อย่างไรแล้วความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล

คุณธวัลรัตน์ คำกลาง เกษตรกรดีเด่น ปี 2561 อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 91/1 หมู่ที่ 6 ตำบลวังกะทะ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เล่าวถึงจุดเริ่มต้นของกิจการสวนป่าแห่งนี้ว่า เดิมที พ่อกับแม่ของเธออพยพมาจากอำเภอสูงเนิน แล้วมาได้งานเฝ้าสวนที่ตำบลวังกะทะ ต่อมาเจ้าของที่ต้องการย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นจึงเอ่ยปากขายที่ให้กับพ่อแม่ของเธอ

พ่อแม่ของคุณธวัลรัตน์ตัดสินใจซื้อที่ดินเนื้อที่ 100 ไร่แบบผ่อน โดยนำมาแบ่งสันปันส่วนที่ดินให้คุณธวัลรัตน์และพี่น้องอีก 6 คน ทุกคนช่วยกันผ่อน คุณธวัลรัตน์ได้รับส่วนแบ่งที่ดินมา 24 ไร่ เพื่อนำมาปลูกป่าที่ตนเองรัก

คุณธวัลรัตน์เริ่มปลูกสวนป่าเพราะความชอบ ไม่ได้คิดอะไร เพราะเธอเป็นคนชอบป่า ชอบสีเขียว ชอบความสงบของป่าตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อมีพื้นที่เป็นของตัวเองจึงไม่ลังเลที่จะปลูกพืชอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว ปลูกแบบไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดถึงกำไรขาดทุน เริ่มจากการปลูกสวนป่ากับสามี คือ คุณชัชนรินทร์ อ่อนราษฎร์ ช่วยกันทำสองคน

เนื่องจากคุณธวัลรัตน์มีเงินทุนน้อย จึงไปขอพันธุ์ไม้ฟรีจากกรมป่าไม้และหาซื้อพันธุ์ไม้หอมราคาถูกมาปลูก ค่อยปลูกสะสมมาเรื่อยๆ เมื่อทำจนลงตัว ตนทั้งคู่จึงค่อยเริ่มแบ่งงานกันชัดเจนขึ้น  ครอบครัวเธอมีลูกสองคน เธอรับหน้าที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก ขายของ สามีทำสวน

สวนป่าแห่งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากศูนย์ เริ่มปลูกป่าโดยขอกล้าไม้พันธุ์ไม้ฟรีจากกรมป่าไม้ พร้อมติดต่อขอคำแนะนำเรื่องการปลูกพันธุ์ไม้มาเรื่อยๆ ทางกรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูและให้คำแนะนำเรื่องการปลูกดูแลพันธุ์ไม้เป็นประจำ ทำให้สวนป่าแห่งนี้เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถส่งเข้าประกวดได้ ปรากฏว่าสวนแห่งนี้ได้รางวัลชนะเลิศ

เนื่องจากเป็นสวนที่เธอลงมือทำเอง ชื่อสวนป่าก็เป็นของเธอ รูปแบบการจัดการสวนป่าแห่งนี้ ชาวบ้านทั่วไปสามารถทำตามได้ไม่ยาก ทำให้คุณธวัลรัตน์ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น ด้านสวนป่า ได้เข้ารับโล่รางวัลพระราชทานในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี พ.ศ. 2561 ณ พลับพลาที่ประทับมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561

ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง

ทำน้อย แต่ได้มาก

หลักการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง นั้น ประโยชน์ข้อแรกคือ มีพืชอาหารที่นำมากินได้ ประโยชน์ที่ 2 เป็นไม้ใช้สอยนำมาใช้งานได้ เช่น เป็นไม้ฟืนหรือใช้สร้างบ้านเรือน ประโยชน์ที่ 3 ขายไม้สร้างรายได้ ประโยชน์ที่ 4 คือ ปลูกป่าช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ ตอนแรกที่คุณธวัลรัตน์มาทำกินในที่ดินแห่งนี้ยังไม่มีแหล่งน้ำ แต่หลังจากป่าอุดมสมบูรณ์เกิดลำธารขึ้นมาเอง

“คำว่า ‘สวนป่า’ คือเน้นความหลากหลายเพื่อฟื้นฟูระบบดิน ตอนที่เริ่มมาอยู่ใหม่ๆ ดินไม่มีคุณภาพ เป็นดินเลว มีแต่หิน เมื่อทำสวนป่า ปลูกต้นไม้ยืนต้น หยุดการไถ ปลูกป่าแบบเน้นระบบนิเวศมากที่สุดคือ ปลูกแบบไม่เป็นแถวเป็นแนวเพื่อป้องกันดินชะล้าง ต้นไม้แต่ละชนิดจะไม่ซ้ำประเภทกัน ปลูกสลับกันไป มีทั้งไม้โตเร็ว โตช้า ทรงพุ่ม สลับกันไป และมีไม้รุ่นที่สองคือไม้เรี่ยดิน” คุณธวัลรัตน์ กล่าว

ปัจจุบันสวนป่าของคุณธวัลรัตน์ปลูกพันธุ์ไม้มากกว่า 200 ชนิด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ไม้โตเร็ว ไม้โตปานกลาง ไม้โตช้า ย่อยออกมาเป็นไม้กินได้ ไม้ใช้งาน และไม้เศรษฐกิจ แยกออกมาเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 ไม้ต้นทุน คือไม้ที่ลงแรงปลูกหรือไม้ที่ต้องใช้งบประมาณ

ประเภทที่ 2 เรียกว่า ไม้กำไร เป็นไม้ที่โตขึ้นมาเองจากการทิ้งเมล็ดจากไม้อื่นๆ อยู่ในกลุ่มไม้พลังงาน ทำถ่าน ทำฟืน สร้างบ้าน ใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน เริ่มต้นที่ไม้โตช้า เช่น ไม้ตะเคียนทอง มะค่าโมง ลำดวน พะยูง ชิงชัน ส่วนไม้โตปานกลาง ได้แก่ ต้นสัก ประดู่ ยางนา เป็นไม้ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป กลุ่มไม้โตเร็วคือ ขี้เหล็ก สะเดา ตะกู กระถินเทพา กระถินณรงค์ ไม้กินผล ขนุน มะม่วง ลำไย สะตอ ชมพู่ ละมุด เหลียง มะนาว มะกรูด มะพร้าว กล้วย มะละกอ ลูกเนียง ส้มโอ มะเฟือง ขนุน น้อยหน่า ไม้พลังงาน ไผ่หวาน ไผ่บง ไผ่กิมซุ่ง ไผ่เลี้ยง กระถิน สามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นไม้ฟืนหรือใช้สร้างบ้านได้” คุณธวัลรัตน์ กล่าว

การใช้ประโยชน์-สร้างรายได้

สวนป่าของคุณธวัลรัตน์ ไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น เน้นธรรมชาติ และทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง โดยการเก็บเศษใบไม้ที่ร่วงมารวมกัน แล้วหมักมาใช้ประโยชน์ใส่ในแปลงผักบ้าง โคนต้นไม้บ้าง ซึ่งก็ถือว่าได้ผลดีพอสมควร ทำให้สวนป่าแห่งนี้มีต้นทุนต่ำ สร้างรายได้พอเลี้ยงครอบครัวได้ไม่ขัดสน

ประโยชน์ที่ได้คือ ใช้ประโยชน์จากไม้กำไรที่ขึ้นมาเอง อย่างกระถิน ถ้าต้องการใช้งาน เช่น เผาถ่านขายได้กระสอบละ 300 บาท หากแบ่งขายเป็นถุงเล็ก ถุงละ 30 บาท มีรายได้จากการขายถ่านทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายน้ำส้มควันไม้ ถ่านผลไม้ ส่วนผงถ่านใช้ทำปุ๋ยได้เช่นกัน

คุณธวัลรัตน์สร้างรายได้ผลผลิตในสวนป่า เช่น ขายหน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดอง มีรายได้จากการขายสะตอ ขายมะนาว หรือผลไม้แช่อิ่มที่ทางสวนนำมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ผลผลิตที่มีน้อย อย่างเช่น หน่อไม้เก็บได้วันละ 40-50 กิโลกรัม แทนที่จะขายกิโลกรัมละ 8 บาท ก็นำมาแปรรูปเป็นหน่อไม้ดอง หน่อไม้นึ่ง เพิ่มมูลค่าสินค้า หากตัดไม่ทันก็ปล่อยให้ขึ้นลำ สามารถใช้ประโยชน์จากลำไผ่ได้แล้ว ยังแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดได้อีกด้วย ส่วนไม้โตช้าคือ ไม้พะยูง ไม้มะค่า คุณธวัลรัตน์วางแผนขายในช่วงที่ลูกโต เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษา เพราะเป็นไม้ที่ขายได้มีราคาสูง

ปลูกสวนป่า มีเงินส่งลูกเรียนจบปริญญาได้

หลายคนมองว่าอาชีพเกษตรกรรมได้เงินน้อย แต่เหนื่อย ซึ่งก็จริงแต่ไม่ทั้งหมด หากมีการวางแผนการจัดการที่ดี คุณธวัลรัตน์มั่นใจว่า จะมีเงินรายได้ก้อนโตส่งให้ลูกเรียนจบสูงๆ ได้อย่างสบาย

คุณธวัลรัตน์และสามีมองว่า การศึกษาที่ดีที่สุดคือ โรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด เพราะสามารถพูดคุยกับคุณครูของลูกได้ ไม่เห่อตามกระแสว่าลูกต้องเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ อยู่ไกลจากบ้าน 50-60 กิโลเมตร เด็กจะเหนื่อย และถือเป็นการลงทุนที่ไม่เห็นผล

คุณธวัลรัตน์วางแผนปลูกป่าเพื่ออนาคตลูก โดยแบ่งการใช้ประโยชน์สวนป่าเนื้อที่ 24 ไร่ เป็น 6 แปลง แปลงละ 4 ไร่ แปลงที่ 1 เป็นพื้นที่ด้านบนสุด เป็นพื้นที่ลาดชัน คือเป็นป่าปล่อย เอาไว้เก็บกำไรกิน คือได้ไม้ ที่ไม่ต้องปลูก ใช้หลักการของศาสตร์พระราชา ปลูกในที่บนที่สุดก่อน เสร็จแล้วให้ลูกไม้หล่นมาขึ้นใหม่ ไว้เก็บกินรายวัน หรือตัดมาเผาถ่านทำฟืน ถัดลงมา เป็นแปลงที่ 2 เมื่อลูกเกิด ปลูกแปลงนี้ก่อน 4 ไร่ ปลูกไม้โตช้าไร่ละ 200 ต้น เนื้อที่ 4 ไร่ เท่ากับปลูกไม้ 800 ต้น ถ้าลูกโตมา จบ ม.6 อายุ 18 ปี เท่ากับต้นไม้มีอายุ 18 ปี สามารถตีราคาขายได้ต้นละ 5,000 บาท 800 ต้น เท่ากับมีเงินรายได้ 4 ล้านบาท สามารถเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาสำหรับลูกคนที่ 1

แปลงที่ 3 ปลูกไม้โตช้าเนื้อที่  4 ไร่ เป็นเงินเก็บให้ลูกสาวคนที่ 2 จัดสันปันส่วนให้เท่ากับลูกคนที่ 1 ทุกอย่าง ส่วนแปลงที่ 4 และแปลงที่ 5 เป็นแปลงด้านล่าง แบ่งไว้ให้อีกคนละ 4 ไร่ คนละ 800 ต้น ส่วนนี้เก็บไว้ให้สำหรับการแยกเรือน หรือใครอยากจะขายและนำเงินไปเรียนต่อก็ได้ หรือเก็บไว้สร้างเรือนก็แล้วแต่ลูกทั้งสอง

แปลงที่ 6 แปลงสุดท้าย คือส่วนรายได้ของคุณธวัลรัตน์และสามี ใช้ปลูกผักสวนครัว ทำนา ป่าปล่อย เก็บกินและเก็บขายสร้างรายได้รายวัน “แค่ 4 ไร่ ก็เหนื่อยแล้วสำหรับคนแก่ 2 คน” นับว่าเป็นการวางแผนครอบครัวและตัวอย่างเกษตรกรดีเด่นมากๆ

สำหรับท่านที่สนใจการปลูกสวนป่าหรืออยากได้แง่คิดการใช้ชีวิตที่ดี สามารถโทร.ปรึกษาหรือติดต่อเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ “บ้านไร่บทเพลงแห่งพระจันทร์” ของ คุณธวัลรัตน์ คำกลาง และ คุณชัชนรินทร์ อ่อนราษฎร์ โทร. 082-141-5474