รมช.มนัญญา หนุนสร้างคนรุ่นใหม่กลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตรหลังดำเนินโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ ครบ 2 ปี ยืนยันทำการเกษตรมั่นคงอยู่ได้ครอบครัวเข้มแข็ง

“โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” มาจากความริเริ่มของ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรุ่นใหม่กลับไปถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อประกอบอาชีพการทำเกษตรได้อย่างมั่นคง มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว เนื่องจากเห็นว่าในปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป จึงต้องเร่งสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่และมีใจรักการทำเกษตรได้กลับสู่บ้านเกิดเพื่อสืบสานอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว

ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานกับหน่วยงานต่างๆ เข้ามาถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตร รวมทั้งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำผ่านทางกองทุนพัฒนาสหกรณ์หรือผ่านทางการกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปัจจุบัน มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการและได้รับการสนับสนุนจำนวน 3,000 กว่าราย และสหกรณ์ที่สมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกรรุ่นใหม่ในโครงการกว่า 700 แห่ง และส่วนใหญ่ได้เริ่มดำเนินการตามแผนการผลิตและมีรายได้จากภาคการเกษตรแล้ว

โดยนางสาวมนัญญา  กล่าวว่า โครงการลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ นับแต่เริ่มโครงการมากว่า 2 ปี มีเกษตรกรรุ่นใหม่เข้าร่วมโครงการแล้ว 3,670 คน ปี 2565 ตั้งเป้าจะพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่อีกประมาณ 850 คน ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่พบว่ากลุ่มเกษตรกรเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่กลับไปสร้างความเข้มแข็ง ให้บ้านเกิดและเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งที่ผสานกับเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทั้งการผลิตและการตลาด อีกทั้งจะเป็นแรงงานทดแทนเกษตรกรไทยที่เริ่มเข้าสู่ช่วงสูงวัย

ซึ่งแต่ละปีจะมีการสำรวจผลสัมฤทธิ์โครงการโดยในปี 2564 สำรวจแปลงเกษตร 500 ราย พบว่ามีรายได้จากภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยพบว่าก่อนเข้าร่วมโครงการมีรายได้ 7,451 บาทต่อคนต่อปี หลังเข้าร่วมโครงการมีรายได้เฉลี่ย 10,098 บาทต่อคนต่อปี

“โครงการนี้ไม่ได้ใช้เงินเป็นหลัก แต่ใช้การสนับสนุนสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มองเห็นว่า การเกษตรก็เป็นอาชีพที่มั่นคงได้หากมุ่งมั่นตั้งใจ และย้ำในเรื่องการทำน้อยได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่เข้าโครงการนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะเข้ามาช่วยเหลือในการเป็นพี่เลี้ยงประสานหน่วยงานเข้ามาให้ความรู้แนะนำการทำการเกษตร ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำประมง ตามความถนัดและความสนใจของแต่ละคน พร้อมทั้งมีสหกรณ์ในพื้นที่คอยสนับสนุนหาตลาดรับซื้อผลผลิตและจัดหาเงินจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ และพันธมิตรอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่พร้อมสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับเกษตรกรที่เข้าโครงการนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ เชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความยั่งยืนภาคการเกษตรของไทยในอนาคต” นางสาวมนัญญา กล่าว

จากการดำเนินโครงการดังกล่าวมาเป็นระยะเวลา 2 ปี ได้มีการประเมินและวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ที่ใช้ใจทำงานมากกว่าใช้เงินทุ่มลงไปในโครงการ เกษตรกรทั้ง 2 คนนี้จะตัวอย่างที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ของการกลับไปทำการเกษตร ที่บ้านเกิดว่า 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากได้เข้าร่วมโครงการ ชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างไร

นายนัฐนันท์ ประเสริฐสกุล เกษตรกรในโครงการลูกหลานกลับบ้าน จังหวัดชุมพร กล่าวคำแรกว่า สมัครเข้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ กับกรมส่งเสริมสหกรณ์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยเหตุผลเดียวคือต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และต้องการมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง เพราะด้านการเกษตรกรมีพื้นฐานมาบ้างแล้วจากการเรียนและการลงมือทำตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบปริญญาตรีจากลาดกระบัง สาขาพืชสวน ก็กลับบ้านเพื่อทำการเกษตรที่พ่อแม่ทำอยู่ก่อนหน้าในพื้นที่ 37 ไร่ ปลูกกล้วย ทุเรียน ส้มโชกุน มะละกอ เป็นเกษตรปลอดภัย ในสวนไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า สำหรับปุ๋ยทำเองตามสูตรต่างๆ ที่มีการเรียนรู้ระหว่างเกษตรกรด้วยกัน ผลผลิตทั้งหมดขายส่งในตลาดชุมพร

“ชอบที่สุดที่เข้าโครงการคือการได้รับความรู้ใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ และได้เครือข่ายใหม่ทั้งภาคเกษตร เอกชน และภาคราชการ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเกษตรยุคใหม่ การต่อยอดการเกษตรต้องเข้าใจระบบตลาดให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อต่อยอดธุรกิจของตนเอง มากกว่าการผลิตเพื่อขายราคาขั้นต่ำเท่านั้น ผมไม่อยากขายผลผลิตในราคาขั้นต่ำเพราะมั่นใจว่าของเราดี ต้องขายได้ราคาที่เป็นธรรม”

นายนัฐนันท์ กล่าวอีกว่า การทำการเกษตรต้องมีการวางแผนว่าตลาดต้องการอะไร โดยเฉพาะตลาดใกล้บ้านเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดค่าขนส่ง ก็พบว่า ที่ชุมพรกล้วยน้ำว้าที่ไร้เมล็ดมีไม่เพียงพอ ต้องซื้อจากจังหวัดราชบุรี ตนเองจึงนำพันธุ์ปากช่อง 50 มาปลูก ผลคือแม่ค้าในพื้นที่เหมาสวนล่วงหน้า รายได้เฉพาะขายกล้วยอยู่ในช่วง 15,000-30,000 บาทต่อเดือนตามจังหวะราคาตลาด

ปัจจุบัน นายนัฐนันท์ได้เริ่มวางแผนปลูกทุเรียนคุณภาพในพื้นที่ 3 ไร่ เพิ่มเติมจากที่ปลูกอยู่แล้ว โดย 3 ไร่นี้จะใช้เมล็ดทุเรียนบ้าน ซึ่งเป็นต้นที่มักออกนอกฤดูมาเป็นต้นหลักเพื่อเสียบกิ่งทุเรียนหมอนทองพันธุ์ดี เพราะหวังว่าหากมีผลผลิตออกนอกฤดูจะขายได้มากกว่าราคาซื้อขายในตลาด สำหรับระยะการปลูก 9×4.5 เมตร ระหว่างต้นปลูกแซมด้วยกล้วยน้ำว้า ส้มโชกุน เพื่ออาศัยน้ำด้วยกัน เป็นการลดต้นทุนสวนไม้ผลเหล่านี้เป็นกลุ่มไม้ธนาคารที่จะให้ผลผลิตเก็บกินระยะยาว ส่วนผลผลิตที่สามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวคือกล้วยและมะละกอ โดยยืนยันว่า รายได้จากการทำการเกษตรสามารถอยู่ได้ สำหรับครอบครัวและคนงานอีก 2 คน

นอกจากนั้น สำหรับตนเองมีรายได้จากเงินเดือนที่เป็นพนักงานประจำอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่ารายได้จากการเกษตรมากกว่างานประจำ ทั้งนี้ การทำงานยึดหลักการวางแผนการผลิตเป็นหลัก ทำให้ลดต้นทุน ลดความเสียหายของผลผลิต และสินค้าออกมาตามวันเวลาที่วางแผน

ด้าน นางสาววลัยรัตน์ ปานตั๊น อายุ 43 ปี เกษตรกรจังหวัดราชบุรี ดีกรีปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า กลับมาอยู่บ้านเมื่อปี 2563 และสมัครเข้าโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ เป้าหมายที่กลับบ้านคือต้องการอยู่ดูแลพ่อและแม่ที่อายุเพิ่มมากขึ้น กลับมาทั้ง 3 คนพี่น้อง ตนเองจึงสมัครเข้าโครงนี้ หลังอบรม 1 ปีเริ่มวางแผนปลูกพืช ทำการเกษตรแบบจริงจัง เมื่อต้นปี 64 จากเดิมที่พ่อทำสวนมะพร้าวน้ำหอมไว้แล้วในเนื้อที่ 6 ไร่เศษ โดยได้นำความรู้จากการอบรม การดูงานของโครงการมาปรับใช้คือการวางแผนผลิต การทำบัญชี โดยดูตลาดในพื้นที่ว่าเขาต้องการอะไร

“การเริ่มต้นของเราสามพี่น้องคือวางแผนว่าอะไรทำได้ง่ายและขายได้เร็ว จึงเริ่มเลี้ยงเป็ดอี้เหลียง ที่ดูจากอินเตอร์เน็ตว่าเลี้ยงง่าย ตายยาก ประกอบกับที่บ้านเป็นท้องร่องสวนจึงเริ่มเลี้ยงเป็ดเพียง 3 ตัวจากนั้นสามารถขยายได้เป็น 50 ตัว ผลผลิตที่ขายคือไข่เป็ดที่มีเชื้อผ่านระบบออนไลน์ทุกช่องทางในชื่อของบ้านสวนปานตั๊น เพื่อให้ลูกค้านำไปฟักเป็นตัวซึ่งได้รับการตอบรับมาก โดยอาหารที่เลี้ยงจะใช้เศษต้นกล้วยและผักในสวนเป็นอาหาร

นอกจากนั้น ไปอบรมเลี้ยงปุ๋ยมูลไส้เดือนกลับมาเริ่มลงทุนเพียง 2,000 บาท ซื้อไส้เดือนมาเลี้ยงเพื่อเอามูลทำปุ๋ยจำหน่าย ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ผลผลิตที่ออกมาก เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มะขาม มะม่วงหาวฯ ก็มีการนำแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและเป็นการถนอมอาหาร ในสวนทุกอย่างจะไม่ทิ้ง ทุกอย่างนำมาแปรรูปได้ทั้งหมด และขายผ่านระบบออนไลน์ช่วยได้มาก เพราะลูกค้าลดเวลาเดินทาง เมื่อเขามั่นใจเรา ก็ยิ่งสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง เรียกว่าปัจจุบันครอบครัวอยู่ได้สบายๆ และมีเวลานั่งกินข้าวด้วยกันทุกวันทั้งพ่อแม่และน้องๆ”

“สำหรับการหารายได้นั้น ครอบครัววางแผนปลูกผักเพื่อจำหน่ายให้ร้านค้า ร้านอาหารตามสั่ง ร้านข้าวแกงในพื้นที่ใกล้เคียง ที่จะไปสอบถามว่าใครต้องการอะไรเท่าไหร่ และนำมาวางแผนผลิตและการส่ง ทำให้มีรายเป็นรายวันทุกวัน อีกทั้งสวนผักจะไม่ใช่สารเคมี จะใช้เพียงปุ๋ยที่ผลิตเอง และน้ำปุ๋ยมูลไส้เดือนทำให้ผักสดกรอบ และลูกค้าต่างบอกว่าผักมีรสชาติอร่อย และเก็บไว้ได้นานกว่าผักที่ซื้อจากตลาด เช่น ถั่วฝักยาว มะเขือ ที่ลูกค้าจะชอบมากจึงทำให้ผักไม่พอจำหน่าย กำลังจะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม ปัจจุบันสามารถขายได้วันละกว่า 1,000-2,000 บาท ปัจจุบันมีลูกค้าเห็นในเพจเพิ่มขึ้น เสาร์ อาทิตย์ จึงมีลูกค้าเดินทางมาเที่ยวที่สวนอีกด้วย ในอนาคตวางแผนปลูกไผ่ซึ่งในพื้นที่ไม่มีใครปลูกเพื่อขายเป็นหน่อไม้ อีกทั้งเป็นพืชอายุยาว ปลูกครั้งเดียวให้ผลผลิตกว่า 20 ปี” นางสาววลัยรัตน์ กล่าวในที่สุด