ผักกูด พืชป่าอาหารจานเด็ด และยาดี

ในระยะที่โลกกำลังผจญกับปัญหาภัยคุกคามด้วยโรคติดต่อที่รุนแรงเช่นขณะนี้ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนคนบ้านเราก็หลีกหนีไม่พ้น เกิดความลำบากยากเข็ญ แร้นแค้น การหาอาหารเลี้ยงดูประทังชีวิตก็อยู่ในขั้นขัดสน หมู เห็ด เป็ด ไก่ ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา เกลือ กะปิ น้ำปลา ปลาร้า น้ำมัน ผงปรุงรส ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม พืชผักนานา ก็ขยับราคาขึ้น ท่ามกลางความทุกข์ยากของชาวชน

ชาวบ้านเขาออกหาเก็บ “ผักกูด” ตามแหล่งธรรมชาติ เพื่อเอามาบริโภค หรือเอามาแบ่งปัน หรือขายเป็นรายได้ เมื่อก่อนส่วนใหญ่หาเก็บเอามาทำเป็นอาหาร คนเข้าป่าก็หาผักง่ายๆ เอามาประกอบอาหารกินกัน หาพืชพื้นบ้าน พืชตามป่าเขา ต้นพืชไหนที่นำมากินได้ ก็จะเลือกสรรมาปรุงแต่งประกอบอาหารกิน เรียกพืชที่เอามากินว่า “ผัก” แต่มีพืชกินได้บางอย่างที่ไม่เรียกว่าผักนำหน้า เช่น “หน่อไม้” คือต้นอ่อนไผ่ “หัวปลี” คือดอกกล้วย และพวก เผือก บอน ซึ่งความนิยมชมชอบก็ขึ้นอยู่กับคนกิน ที่ชัดเจนแน่นอนที่สุด คือความผูกพันที่ชาวบ้านกับพืชป่า ผักป่า ผักพื้นบ้าน มีความลึกซึ้งซึมลึกกันมาแต่เนิ่นนาน ยากเกินกว่าจะสืบค้นหาหลักฐานความเป็นมาได้ สันนิษฐานว่าจะมีสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีไทย โน่นละกระมัง

“ผักกูด” ชื่อสามัญ Paco Fern หรือ Small Vegetable Fern ชื่อวิทยาศาสตร์ Diplazium esculentum (Retz) Sw พบการกระจายตัวอยู่ในบริเวณเขตร้อนของเอเชีย จนถึงตอนกลางของจีน ตอนใต้ของญี่ปุ่น และหมู่เกาะแปซิฟิก ผักกูดที่นิยมนำมารับประทานคือ ผักกูดน้ำ ซึ่งจะขึ้นเจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งมีน้ำขัง ชุ่มชื้น ตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาด ก้านใบจะยาวได้ถึง 1 เมตร ยอดเป็นมันวาวเลื่อมแสง ใบสีเขียว เมื่อเด็ดยอดจะมียางเหนียวใส บริเวณโคนต้นมีขนสีขาวเทา ถ้าต้นแก่มีขนอ่อนสีน้ำตาลคลุมต้น

เป็นพืชผักในตระกูลเฟิร์น (Fern) หรือ เฟิน หรือวงศ์ ATHYRIACEAE คำว่า กูด แปลว่า หงิกงอ มีเรียกชื่อกันหลายอย่าง เช่น ผักกูดกิน ผักกูดครึ ผักกูดขาว หรืออาจเรียกตามชนิด เช่น ผักกูดก๊อง ผักกูดน้ำ ผักกูดดอย ผักกูดเครือ ที่สุราษฎร์ฯ และโคราช เรียก หัสดำ นอกจากนี้ ยังมีชื่อที่เรียกต่างกันไป เช่น ผักกูดเกลี้ยง ผักกูดซาง ผักกูดขน ผักกูดแดง ผักกูดนกยูง มีอีกหลายชนิดที่ไม่ถือว่าเป็นผัก คือกินไม่ได้ เรียกรวมๆ กันว่า “เฟิร์น” หรือ “เฟิน” ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนสวยงาม เช่น เฟินหางกระรอก เฟินใบมะขาม เฟินใบพาย เป็นต้น

ลักษณะทั่วไปของผักกูด จะมีความแตกต่างกันไปแต่ละชนิด ส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุก ในช่วงแล้งต้นจะแห้ง ใบจะเหี่ยวเฉาแห้ง และแตกหน่อแตกใบใหม่ในฤดูฝน ต้นผักกูด จะแทงออกจากเหง้าโดยตรง อาจจะเป็นไม้เลื้อย ใบมีสีเขียว มีรูปร่างแตกต่างกัน ขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ เฟินในประเทศไทยมีมากกว่าร้อยชนิด ชนิดที่กินได้เรียกกันว่า “ผักกูด” อย่างที่กล่าวมา มักพบบริเวณลำห้วย หนองน้ำ ลำธาร ต้นน้ำ ป่าละเมาะ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าผลัดใบผสม ชะง่อนหินที่มีความชันสูงของป่าดิบชื้นก็มี เช่นที่ภูพญาพ่อ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ พบผักกูดดอย และเฟิร์นร้อยปี หรือเฟิร์นยักษ์ ก็คือต้นตระกูลผักกูดดอย นั่นแล

ชาวบ้านหลายพื้นที่มีอาชีพเก็บผักกูดขาย บางแห่งรับจ้างเก็บ หรือรวบรวมส่งให้พ่อค้าผัก ส่งออกไปต่างประเทศก็มี เช่น ญี่ปุ่น นำไปทำผักดอง “วาราบิ” บางพื้นที่หาเก็บตามแหล่งธรรมชาติไม่พอขาย ก็หันมาปลูกเพาะเป็นแปลงเกษตรอาชีพ รอเก็บจากธรรมชาติก็เก็บ 2 สัปดาห์ครั้ง ไม่พอต่อความต้องการของตลาด เมื่อต้องปลูกเอง ต้องทำการปลูกดูแลรักษา หาวิธีการเพาะขยายเหมือนเช่นการดูแลผลิตผักเศรษฐกิจอื่นๆ วิธีการปลูกผักกูด เริ่มจากการไถดินเตรียมแปลงปลูก ปรับปรุงบำรุงดิน ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักรองหลุม หรือผสมดินทั้งแปลง ขุดหลุมปลูกระยะ 30×50 เซนติเมตร ใช้หัวไหล หรือหน่อผักกูด วางปลูกตื้นๆ กลบโคน คลุมแปลงด้วยฟางแห้ง รดน้ำ เมื่อต้นผักกูดแตกยอดตั้งตัวได้แล้ว ใส่ปุ๋ยยูเรีย ผสมปุ๋ยสูตร 15:15:15 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ ให้น้ำวันละ 1 ครั้ง ต้นผักกูดที่ปลูกเมื่ออายุประมาณ 5 เดือน จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว 3 วันเก็บยอดครั้งหนึ่ง เป็นผักที่อายุยาวมาก ดูแลบำรุงรักษาดี ให้ผลผลิตยาวนานหลายปี และเมื่อเวลาผ่านนานมากเข้า ผักกูดก็จะแก่ตัว ให้ผลผลิตลดลง ยอดจะเล็กลง ใบแก่จะเหี่ยวแห้ง โคนกอจะยกสูงขึ้นพ้นดิน เรียกว่า รากลอย ก็ทำการล้มแปลง หรือล้มกอปลูกใหม่แทนที่ ควรทำสลับแปลงเพื่อให้มีผลผลิตให้เก็บตลอดปี และโดยเฉพาะมียอดให้เก็บเกี่ยว ช่วงที่ไม่มีผักกูดจากธรรมชาติออกมาสู่ตลาด ราคาไม่น้อยเลย

ทุกวันนี้ชาวบ้านมีผักกูดมาวางขาย โดยจะเก็บส่วนที่เป็นยอด หรือก้านใบอ่อนที่แทงขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน เป็นก้านใบที่อวบอ้วน มีใบอ่อนติดปลายม้วนขดงอคล้ายก้นหอย สวยงามเป็นศิลปะจากธรรมชาติเนรมิต ภาษาวิชาการเรียกว่า ฟรอนด์ (Frond) นำมามัดเป็นกำขาย กำหนึ่งหนักประมาณ 2 ขีด หรือ 5 กำ ต่อกิโล ขายกำละ 10-15 บาท กิโลกรัมละ 50-75 บาท นับว่าได้ราคาดีพอสมควร เกษตรกรที่ปลูกเป็นแปลงผักกูดเพื่อการค้า หรือทำนาผักกูด ปลูกปีแรกจะได้ผลผลิตประมาณ 200-300 กิโลกรัม ต่อไร่ ปีต่อมาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจได้ถึง 3,000 กิโลกรัม ต่อไร่ ราคา รายได้ขึ้นกับกรรมวิธีการขาย จะมีการตกลงซื้อขายกันหลายวิธี บ้างก็ขนไปขายส่งตลาดกลาง ศูนย์การค้า บ้างก็ขายส่งให้พ่อค้ารายย่อย บ้างก็มีการนัดหมายมารับถึงสวนทุกวันก็มี ตลอดจนส่งขึ้นห้างสรรพสินค้า ส่งภัตตาคารร้านอาหาร สถานบริการด้านสุขภาพ

ด้านเกษตรกรผู้ผลิต ได้มีการปรับวิธีการปลูกผักกูดเป็นหลายแบบ ปลูกเป็นพืชแซม หรือร่วมกับพืชอื่นในร่องสวน แซมสวนพืชผลอื่นๆ หลายอย่าง เช่น สวนกล้วย สวนมะม่วง สวนยางพารา ปลูกเป็นโรงเรือนคลุมพรางแสง และควบคุมความชื้นด้วยระบบน้ำพ่นฝอย ปลูกสวนหลังบ้าน ปลูกตามแนวกำแพงรั้วบ้าน ซึ่งผักกูดเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในที่มีแสงรำไร มีความชื้นสูง ด้านต้นทุนการปลูกผักกูดเพื่อการค้าจะใช้มากเกี่ยวกับค่าปุ๋ย และค่าแรงเก็บเกี่ยว แต่ถ้าขยัน ทำเองในครอบครัว ทำ 1 ไร่ จะพอเหมาะพอดี ผู้สนใจอาจจะศึกษาหาความรู้จากแหล่งปลูก เช่น ที่ศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง ที่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ที่ศาลาแดง เมืองอ่างทอง ที่บ้านนา จังหวัดนครนายก หรือจะศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งเก็บผักกูดตามธรรมชาติที่ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ที่น้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และอีกหลายที่ทุกทิศทั่วไทย

สารพัดคุณค่าของผักกูด เมื่อเป็นผักอาหารคน มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีพลัง มีภูมิคุ้มกัน เพราะมีแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น ธาตุเหล็กมีสูงมาก ยิ่งเมื่อกินร่วมกับเนื้อสัตว์ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุอาหารได้ดี บำรุงโลหิต แก้โรคโลหิตจาง เป็นผักเย็นกินดับร้อน แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยบำรุงสายตา ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีเส้นใยอาหารสูงมาก ช่วยระบบการย่อยอาหาร และการขับถ่าย มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะได้อย่างสุดยอด ใบขยี้ปิดแผลห้ามเลือดได้ ต้มน้ำอาบแก้ผื่นคันตามผิวหนัง เป็นส่วนผสมทำยาผงกินรักษาริดสีดวงทวาร และที่สำคัญ ผักกูดจะสามารถดูดซับเอาสารพิษที่ติดค้างในร่างกาย ในอาหาร และขับทิ้งออกจากร่างกาย แก้พิษอักเสบภายใน นั่นคือกระบวนการต่อต้านสารอนุมูลอิสระตัวก่อมะเร็งภัยร้ายที่ใครๆ ก็ไม่อยากได้ ไม่อยากพานพบ

การนำผักกูดมาเป็นอาหาร แนะนำว่าอย่านำมากินแบบสดๆ เพราะมีสารออกซาเลตมาก จะทำให้เป็นนิ่ว และไตอักเสบได้ ผักกูดเป็นพืชที่มีรสชาติจืดอมหวาน และเนื้อกรอบ นิยมนำเอายอดอ่อนที่มีลักษณะม้วนงอ และใบอ่อนมากินเป็นอาหาร โดยนำมาประกอบอาหารเป็นแกงจืดผักกูดหมูสับ แกงเลียง แกงส้ม แกงกะทิใส่ปลาย่าง แกงรวมกับผักอื่นๆ หรือจะใช้เป็นผักต้ม ผักนึ่งจิ้มน้ำพริกต่างๆ หรือปรุงเป็นยำผักกูดหมูสับ ยำผักกูดใส่กุ้ง ไข่เจียวผักกูด ผัดผักกูดใส่แหนม ผัดผักกูดใส่ไข่ ผัดผักกูดน้ำมันหอย ปรุงแต่งเป็นอาหารตามความนิยมของเราได้มากมายหลายเมนู ซึ่งผักกูดฤดูแล้งจะกรอบอร่อยกว่าฤดูอื่น แม้ว่ายอดจะไม่ค่อยสวยอวบอิ่มสักเท่าไหร่

ผักกูด คือสุดยอดนักสำรวจตรวจวิจัยธรรมชาติ เพราะโดยปกติแล้วผักกูดจะเจริญเติบโตขึ้นได้ดี เฉพาะในบริเวณสภาพแวดล้อมที่ดี มีความบริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าบริเวณไหนอากาศไม่บริสุทธิ์ ดินน้ำไม่ดี มีสารเคมีเจือปน หรือเป็นแหล่งที่มีการใช้สารเคมี ผักกูดจะไม่ยอมเจริญเติบโตเด็ดขาด นับว่าเป็นสุดยอดพืชที่จะเป็นดัชนีชี้วัด ว่าทำเลพื้นที่นั้นดี สมบูรณ์ บริสุทธิ์ เหมาะสมแก่การจะนำไปใช้เป็นที่ปลูกพืชดีๆ ให้แก่คนดีๆ กินอยู่แบบคนดี เพื่อชีวิตที่ดี จะอยู่บนโลกที่ดีใบนี้ได้ คืออยู่อย่างเปี่ยมด้วยความดีนั่นเอง พบกันที่สำรับอาหารนะผักกูดที่รัก


สำหรับแฟนๆ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน หากต้องการนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านรายปักษ์ ส่งตรงถึงบ้าน รวดเร็วทันใจอ่านได้ในทุกๆ 15 วัน สามารถสมัครสมาชิกได้ที่ คลิกลิ้ง https://shorturl.asia/0zJwQ 📲- Line: @matichonbook หรือ สำนักพิมพ์มติชน เลขที่ 12 ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ติดต่อฝ่ายขาย 02-589-0020 ต่อ 3354