เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ หอประชุมเบญจรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง การยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยสู่สากลในยุคดิจิทัลด้วยยานยนต์ไฟฟ้า
เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในยุคดิจิทัลด้วยยานยนต์ไฟฟ้า ให้แก่สถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ รวมทั้งสถานศึกษาที่เปิดสอนในสาขา วิศวกรรมโลจิสติกส์และเทคโนโลยีโลจิสติกส์ ได้เกิดมุมมองในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิส ติกส์ไทย ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคอุตสาหกรรม 4.0 เป็นการยกระดับการขนส่งสินค้าของประเทศไทยด้วยยานยนต์ไฟฟ้า และสร้างโอกาสในการขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้เจริญเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
โดย ศ.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวถึงที่มาของการจัดสัมมนาว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับบริษัทเพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความร่วมมือ การพัฒนานักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และบุคลากรของบริษัทเพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ในด้านอุตสาหกรรมการผลิตและบริการด้านอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่เชื่อมโยง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษา การพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) รวมถึงมีการบริหารจัดการองค์ความรู้ การบริหารจัดการ อุตสาหกรรม และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย และ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) มีการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของความร่วมมือขององค์กรทั้งสองฝ่าย เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนากำลังคนของประเทศตามแนวนโยบายด้านการศึกษาของชาติ
ด้าน รศ.ดร. สมนึก วิสุทธิเเพทย์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานบริการวิชาการเเละอุตสาหกรรมสัมพันธ์ กล่าวว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมขนส่ง มีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของโลก ทำให้เกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ ได้มีการนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้แทนยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม ที่สร้างมลพิษทางอากาศ และมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิงในอนาคต
โดย คุณอภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด กล่าวเปิดการสัมมนา ว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันโดยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ รวมทั้งมีการส่งเสริมในการลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ และเพิ่มมูลค่าจากการเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ การส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวข้อง โดยการส่งเสริมการสร้างศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและเชื่อมต่อกับเครือข่ายโลจิสติกส์ของโลก การผลักดันการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะและส่งเสริมเทคโนโลยีและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน รวมทั้งช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดมลพิษทางเสียง และฝุ่นละออง
จากนั้นเป็นการเสวนาวิชาการ เรื่อง การยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยสู่สากลในยุคดิจิทัลด้วยยานยนต์ไฟฟ้า โดย คุณกฤศ จันทร์สุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โลจิสติกส์เป็นสิ่งคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วน คือ ต้นทุนการขนส่ง (Transportation Cost) ต้นทุนคลังสินค้า(Warehousing Costs) และต้นทุนการบริหาร(Administration Cost) ล่าสุดมีการจัดอันดับเรื่องของ Logistics Performance Index หรือ LPI เครื่องมือเปรียบเทียบเรื่องประสิทธิภาพในการให้บริการงานด้านโลจิสติกส์ โดยประเทศไทยอยู่อันดับที่ 32 จาก 160 ประเทศ เห็นได้ว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น
รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกมีการผลิตยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และสร้างฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง โดยส่งเสริมให้มีการผลิตและการใช้รถยนต์ที่มีคุณสมบัติ “สะอาด ประหยัด ปลอดภัย” ประเทศไทยสามารถผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนไปยัง 170 ประเทศทั่วโลก
“ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหรือการทำธุรกิจต่างๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเสนอคณะรัฐมนตรี ตามมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (xEV) ขั้นตอนที่ 2 Board of Investment หรือ BOI ส่งเสริมการลงทุนในเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วน และสถานีอัดประจุไฟฟ้า ขั้นตอนที่ 3 นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ และ ขั้นตอนที่ 4 กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 30@30 คือ การตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 และล่าสุด มีความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นตลาดและสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV” รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าว
ด้าน ดร. สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวถึงรถพลังงานสะอาด ว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณฝุ่นละอองในอากาศจนมีค่าเกินมาตรฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้แก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ โดยกระทรวงคมนาคมมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้รถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รถโดยสารไฟฟ้า รถโดยสารไฮบริด ส่งเสริมการจัดหารถโดยสารสาธารณะใหม่ให้เป็นตามมาตรฐาน EURO 5 ที่ควบคุมการระบายฝุ่นละออง แต่การใช้เชื้อเพลิงพลังงานสะอาดมีข้อจำกัด จากการศึกษาจะเห็นได้ว่ารถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ทั้งการขนส่งคนและพัสดุภัณฑ์
ในส่วน คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า 13 หมุดหมายภายใต้แผนพัฒนาฉบับที่ 13 ถูกกำหนดชัดเจนว่าไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่
- เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค
3. วิถีชีวิตที่ยั่งยืน
4. ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ
ในส่วนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันประเทศ โดยการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างคมนาคม และลดต้นทุน โดยผลการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบาย และมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการด้านอุปทาน
- การส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (รอบใหม่ ปี 2564) ครอบคลุมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสาร เรือ รถไฟฟ้าระบบราง และการผลิตแพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งชิ้นส่วน 17 ชิ้น
- การพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) เปิดให้บริการทดสอบสมรรถนะยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ เป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน
- การพัฒนาศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่
- พัฒนาผู้ประกอบการและแรงงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะด้านการวิจัย พัฒนา และซ่อมบำรุง
- เพิ่มจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ รวมทั้งส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าในอาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย” นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าว