กรมส่งเสริมสหกรณ์ย้ำ “สหกรณ์ไทย” มั่นคง มีเสถียรภาพ เฟ้นคุณภาพเป็นที่พึ่งประชาชนในระยะยาว

นายธนรัฐ โคจรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาสหกรณ์ด้านการเงินและร้านค้า กรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยถึงกรณีที่มีประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของสหกรณ์ไทยและมูลหนี้สหกรณ์จนทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด มีบางส่วนเท่านั้นที่สหกรณ์มีปัญหาในเรื่องของหนี้ที่เกินศักยภาพในการชำระหนี้ แต่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้แนะนำส่งเสริมให้สหกรณ์พยายามช่วยเหลือสมาชิกให้ได้ทั้งหมด

โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ขอความร่วมมือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ทุกแห่งให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4.75 เพื่อช่วยเหลือสมาชิก แต่มิได้บังคับสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งระบบให้มีเพดานอัตราดอกเบี้ยเดียวกัน เนื่องจากสหกรณ์ออมทรัพย์แต่ละแห่งเป็นนิติบุคคลที่เป็นเอกเทศและมีการบริหารงานขึ้นอยู่กับคณะกรรมการดำเนินการ

นายธนรัฐ โคจรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาสหกรณ์ด้านการเงินและร้านค้า

นายธนรัฐ กล่าวอีกว่า “เวลานี้มีหลายสหกรณ์ที่สามารถกระทำได้ รวมถึงบางสหกรณ์มีอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ต่ำกว่าร้อยละ 4.75 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินของตนเอง บางสหกรณ์อาจพิจารณาแก้ไขในเบื้องต้นเฉพาะสมาชิกที่เดือดร้อน เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีเอกสารประกอบอย่างชัดเจน รวมถึงสมาชิกข้าราชการบำนาญที่มีอัตราเงินบำนาญเพิ่มไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ อาจพิจารณายืดระยะเวลาในการส่งชำระหนี้ ซึ่งสหกรณ์จะต้องบริหารความเสี่ยงในส่วนที่พักหนี้ หรืออาจไม่มีความเสี่ยงหากพิจารณาจากทุนเรือนหุ้นที่สมาชิกถืออยู่”

ตามข่าวที่ว่า หากสหกรณ์ได้รับเงินกู้หรือมีแหล่งเงินทุนจากภายนอก ทางนายทะเบียนสหกรณ์ ไม่มีการประกาศใดๆ ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสหกรณ์ มีเพียงการประกาศเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากเพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงินของสหกรณ์ อันจะทำให้สามารถบริหารอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อบริการสมาชิกได้อย่างเป็นธรรมเท่ากัน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์จะพิจารณาตนเองว่าต้นทุนของสหกรณ์มีเท่าไร บางสหกรณ์อาจนำต้นทุนของแหล่งเงินทุนภายนอก กับต้นทุนจากแหล่งเงินทุนภายในของตนเอง มาเฉลี่ยคำนวณต้นทุนทางการเงิน ทำให้สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินที่คิดมาจากแหล่งเงินภายนอกเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ของตนเองให้ไม่ต้องรับภาระจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงเหมือนกับที่บางคนไปดำเนินการกันเอง”

นายธนรัฐยังได้กล่าวถึงประเด็นที่ว่าจำนวนสหกรณ์ทั้งหมด 7,498 แห่งที่มีจำนวนลดลงว่า ในความเป็นจริงตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา จำนวนสหกรณ์ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นหรือลดจำนวนจนเป็นข้อสังเกต เนื่องจากสหกรณ์อาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่ง ไม่สามารถไปต่อได้ ได้ขอเลิกกิจการและอยู่ระหว่างการชำระบัญชี ทำให้ยังไม่ได้ถูกถอนชื่อออกจนเป็นจำนวนที่ปรากฏ กลุ่มที่สอง อยู่ระหว่างการปรับปรุงกิจการ เมื่อประสบปัญหาทำให้ต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งสหกรณ์เหล่านี้ก็ยังปรากฏอยู่

กลุ่มที่สาม เป็นสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง สามารถอำนวยประโยชน์ให้กับสมาชิกได้ เป็นกลุ่มที่ดำเนินกิจการเป็นไปตามปกติ และเป็นตัวเลขที่เคลื่อนไหวน้อยมาก ไม่มีนัยสำคัญ กลุ่มที่สี่ เป็นสหกรณ์จัดตั้งใหม่ เนื่องจากบริบทการส่งเสริมสหกรณ์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เล็งเห็นปัญหาว่า หากมีการจัดตั้งสหกรณ์แต่ไม่ได้พิจารณาจาก Economy of Scale และเกณฑ์มาตรฐานอื่นๆ จะกลายเป็นไม่ได้สร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ กรมจึงมุ่งไปที่การทำให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง เพื่อให้สมาชิกหรือประชาชนที่สนใจเข้ามาใช้แหล่งเงินทุนหรือใช้สหกรณ์ในการแก้ไขปัญหา โดยกรมจะส่งเสริมสหกรณ์เหล่านี้ให้เป็นที่พึ่งของสมาชิกหรือประชาชนได้อย่างแท้จริง

นายธนรัฐได้กล่าวอีกว่า สำหรับสหกรณ์กลุ่มสองมีจำนวนกว่า 2,000 แห่ง และมีโอกาสเปลี่ยนสถานะไปเป็นกลุ่มแรก จะต้องชำระบัญชีให้แล้วเสร็จ เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้คืน กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงเร่งดำเนินการในส่วนของการจัดชั้นสหกรณ์ ต้องถอนชื่อออกให้ได้ จึงเป็นนโยบายให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัดและเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์ในจังหวัดนั้นๆ เร่งดำเนินการชำระบัญชี จึงจะเห็นภาพการชำระบัญชี ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะเสร็จเพิ่มมากขึ้น เป็นการชำระสะสาง แต่สหกรณ์ที่ดีก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม รวมถึงที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่มาก แต่เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพทั้งสิ้น

“กลุ่มที่สามเป็นสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง สามารถอำนวยประโยชน์ให้กับสมาชิกได้ เป็นกลุ่มที่ดำเนินกิจการเป็นไปตามปกติ และเป็นตัวเลขที่เคลื่อนไหวน้อยมาก ไม่มีนัยสำคัญ กลุ่มที่สี่เป็นสหกรณ์จัดตั้งใหม่ เนื่องจากบริบทการส่งเสริมสหกรณ์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เล็งเห็นปัญหาว่า หากมีการจัดตั้งสหกรณ์แต่ไม่ได้พิจารณาจาก Economy of Scale และเกณฑ์มาตรฐานอื่นๆ จะกลายเป็นไม่ได้สร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ กรมจึงมุ่งไปที่การทำให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง เพื่อให้สมาชิกหรือประชาชนที่สนใจเข้ามาใช้แหล่งเงินทุนหรือใช้สหกรณ์ในการแก้ไขปัญหา โดยกรมจะส่งเสริมสหกรณ์เหล่านี้ให้เป็นที่พึ่งของสมาชิกหรือประชาชนได้อย่างแท้จริง”นายธนรัฐ กล่าว