เผยแพร่ |
---|
ตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์แก่คนไทยและคนทั้งโลก ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เพื่อความสุขของคนไทยและความเจริญของประเทศ โดยมิทรงเหน็ดเหนื่อย
ขณะที่วันที่ 13 ตุลาคม 2560 เป็นวันครบรอบ 1 ปีแห่งการเสด็จสวรรคต ประชาชนจากทุกสารทิศได้เดินทางไปกราบพระบรมศพเป็นครั้งสุดท้ายอย่างมืดฟ้ามัวดิน แม้ฝนจะตก แดดจะออก ก็ไม่อนาทร เพราะนั่นคือความรักความอาลัยในพระองค์ท่านอย่างสุดซึ้ง
คำสอน พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสต่าง ๆ คือ “มรดกอันล้ำค่า” ที่ทรงมอบไว้ให้กับประชาชน เป็นความรักและความห่วงใยที่ทรงมีต่อประชาราษฎร์ของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นต้นแบบในทุกด้าน ไม่ว่าการครองตน การครองเรือน การดำเนินชีวิต การทำงาน และการทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม ประเทศชาติ เริ่มตั้งแต่พื้นฐานคือทรงสอนให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งต้องอบรมกันตั้งแต่เด็ก ๆ
ประการต่อมาคือ ความเพียร ความอดทน ในการปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ถ้าไม่มีความเพียร ความอดทนแล้ว ก็ไม่มีทางที่ชีวิตจะเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ทรงสอนให้รู้จักพอเพียง มีความโลภน้อย ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ชีวิตก็เป็นสุข
ส่วนความกตัญญูกตเวทีนั้น ไม่เพียงแต่ทรงสอน แต่ยังทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง ผลคือทำให้สังคมสงบสุข ตนเองก็เจริญรุ่งเรือง
ที่ทรงเน้นย้ำอย่างมาก คือ ความรักความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ ตราบใดที่ชาวไทยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาติย่อมรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง นอกจากนี้ ยังทรงสอนให้รู้จักรักธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของคนเรา การคุ้มครองรักษาสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีเท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลาน
คำสอน พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเหล่านี้ ต้องหมั่นทบทวน จดจำ จนซึมซับให้เกิดขึ้นในตนเอง และย่อมต้องใช้ความเพียรพยายาม ความอดทน จึงจะบรรลุผลและเป็นไปตามเจตนาพระราชปณิธาน
วันนี้ ไม่มีพระองค์แล้ว ยังเหลือก็แต่มรดกล้ำค่าที่ทรงทิ้งไว้ให้ หากคนไทยทั้งหลายรักและภักดีในพระองค์อย่างแท้จริงแล้ว ย่อมต้องเดินตามรอยทางที่ทรงสร้างไว้ เริ่มต้นด้วยคำสอนทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ต้องลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นจริงทั้งที่เป็นส่วนตัวและส่วนรวม