กรมเจรจาการค้าติวเข้ม ชาวสวนผลไม้ ใช้ประโยชน์จาก FTA หวังปั้นเป็นผู้ส่งออกแทนปลูกแล้วขายอย่างเดียว

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จับมือสภาเกษตรกรแห่งชาติลงพื้นที่ติวเข้มชาวสวนผลไม้ใช้ประโยชน์จาก FTA พร้อมแนะวิธีการเตรียมตัว ตั้งแต่การเพาะปลูกต้องได้คุณภาพ ขั้นตอนการส่งออกต้องทำยังไง หวังปั้นให้เป็นผู้ส่งออก แทนการปลูกแล้วขายอย่างเดียว พร้อมรับฟังความคิดเห็น หลังจะเริ่มเจรจา FTA ไทย-อียู ร่วมวง CPTPP ส่วนการลงพื้นที่พบปะเกษตรกรกาแฟ โคนม โคเนื้อ ยันไม่กลัวเปิดเสรี และพร้อมแข่งขัน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมจะร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติลงพื้นที่ไปยังจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้สำคัญของประเทศ เช่น เชียงใหม่ จันทบุรี และยะลา เพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ของไทยในการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ เพราะขณะนี้ FTA กรอบต่างๆ ส่วนใหญ่ได้ลดภาษีในกลุ่มผลไม้ลงเหลือ 0% แล้ว จึงเป็นโอกาสที่เกษตรกรจะใช้ FTA ในการส่งออกผลไม้ออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยกำหนดลงพื้นที่เดือน เม.ย.-พ.ค. 2561 นี้

“ปกติเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ ส่วนใหญ่จะปลูกแล้วก็ขายผลผลิตให้กับพ่อค้า แต่ปัจจุบันเริ่มมีเกษตรกรหลายกลุ่มที่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และหันมาทำตลาดเอง ซึ่งกรมจะเข้าไปให้ความรู้และแนะนำการใช้ประโยชน์จาก FTA ในการส่งออก โดยจะพาทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้าไปให้คำแนะนำว่า ถ้าอยากจะส่งออกต้องทำยังไงบ้าง เริ่มจากการเพาะปลูกต้องมีคุณภาพ การบรรจุหีบห่อต้องทำยังไง หรือถ้าจะส่งออกมีอะไรเป็นข้อห้ามบ้าง เช่น ต้องไม่มีสารเคมีหรือแมลงตกค้าง หรือการขอแบบฟอร์มส่งออกต้องทำยังไง เราจะไปช่วยสอน ช่วยแนะนำให้ทั้งหมด แล้วทำให้เกษตรกรส่งออกให้ได้” นางอรมน กล่าว

ทั้งนี้ กรมยังมีแผนที่จะลงพื้นที่ไปรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรในกลุ่มต่างๆ เพื่อนำมาประกอบท่าทีการเจรจาการค้าเสรี ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการจัดทำข้อมูลเพื่อเจรจา FTA ไทย-อียู และการพิจารณาเข้าร่วมข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) หรือ TPP เดิม โดยการลงพื้นที่ จะทำให้กรมทราบข้อมูลที่แท้จริงจากเกษตรกรก่อนที่จะไปเจรจา

นางอรมน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กรมได้ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์และกรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมของเกษตรกรและผู้ประกอบการใน 3 สินค้าเกษตรสำคัญแล้ว ได้แก่ กาแฟ โคเนื้อและโคนม โดยกาแฟลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและชุมพร โคเนื้อ ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม และโคนม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สระบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งผลการลงพื้นที่ พบว่า เกษตรกรเห็นความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการผลิตสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเกษตรกรยังได้มีการรวมกลุ่มกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง และพร้อมที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ประกอบการ ทั้งการค้าขายในประเทศและส่งออก โดยใช้ประโยชน์จากการค้าเสรี

“เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่กลัวการเปิดเสรี เพราะได้มีการเตรียมความพร้อม โดยการพัฒนาคุณภาพ พัฒนาการผลิต และมีการพัฒนาตนเองไปเป็นผู้ประกอบการ และต้องการให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนในด้านการทำธุรกิจ การทำตลาด ซึ่งได้ประสานกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเข้าไปช่วยเหลือในด้านการทำธุรกิจ การพัฒนาแฟรนไชส์ และประสานกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศช่วยเหลือในด้านการส่งออก ขณะที่กรมได้ชี้ช่องและแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรี ในการส่งออก โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ตลาดเพื่อนบ้าน และจีน เป็นต้น” นางอรมน กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้ช่วยเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดเสรีไทย-ออสเตรเลีย และ ไทย-นิวซีแลนด์ ที่จะมีการลดภาษีสินค้ากาแฟ เหลือ 0% ในวันที่ 1 ม.ค. 2563 หางนมเวย์ เนย ไขมันเนย เนยแข็ง และโคเนื้อ วันที่ 1 ม.ค. 2564 และสินค้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมและปรุงแต่ง และนมผงขาดมันเนย วันที่ 1 ม.ค. 2568 เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับการแข่งขัน ซึ่งจากการลงพื้นที่ พบว่า เกษตรกรและผู้ประกอบการมีความพร้อม และไม่กังวลที่จะมีการเปิดเสรี เพราะปัจจุบันสามารถผลิตสินค้าได้มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด และแข่งขันได้

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์