คิดจะปลูกอินทผลัม สายพันธุ์ เป็น “หัวใจ” แห่งความสำเร็จ

หนึ่งในความสำเร็จที่ คุณกรรภิรมย์ ทองประสาน ได้เข้ามาเดินบนเส้นทางผู้ปลูกอินทผลัม และติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศนั้น เพราะเน้นสายพันธุ์ที่เหมาะกับลูกค้าชาวไทย โดยเลือกสายพันธุ์เคแอลวัน

“ทางสวนไม่ได้เจาะจงให้ลูกค้าปลูกอินทผลัมเพียงอย่างเดียว เพราะให้ผลปีละ 1 ครั้ง เท่านั้นเอง ราคาขาย กิโลกรัมละ 700 บาท ซึ่งทางสวนเริ่มขายอินทผลัมเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ กิโลกรัมละ 300 บาท ตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เพราะฉะนั้นทางสวนจึงเลือกสายพันธุ์เคแอลวัน ซึ่งประเทศไทยเพาะเอง มีตั้งแต่ 250 บาท ถึง 4,500 บาท คือสำหรับราคา 4,500 บาท เป็นต้นโตแล้ว ออกช่อในกระถางแล้ว ส่วนราคาสายพันธุ์ต้นอินทผลัมปีนี้จะแพงมาก ถ้าปีแรกๆ ประมาณ 900 บาท ต่อต้น แต่ปีนี้นำเข้า ต้นละ 1,700 บาท ขายต้นละ 2,000 บาท พันธุ์ที่นิยม คือ บาร์ฮี ซึ่งนิยมปลูกในอินเดีย และอังกฤษ” คุณกรรภิรมย์ เล่าให้ฟังทิ้งท้าย

สำหรับอินทผลัมเป็นพืชในตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีความสูงประมาณ 30 เมตร ลำต้นมีขนาด 30-50 เซนติเมตร มีใบติดอยู่บนต้น ประมาณ 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3.4 เมตร ใบเป็นแบบขนนก ใบย่อยนั้นพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกจะออกจากโคนใบ ผลทรงกลมรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ต้นอินทผลัมให้ผลครั้งแรกเมื่ออายุ 3-5 ปี และมีอายุยืนยาวกว่า 100 ปี ให้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ย 100-150 กิโลกรัม เป็นผลไม้ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ โดยแต่ละสายพันธุ์มีเกรด ราคา รวมทั้งรสชาติแตกต่างกัน ซึ่งพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์บาร์ฮี (Barhi) เป็นพันธุ์ที่เหมาะสำหรับกินสด มีแหล่งกำเนิดในประเทศอิรัก ปัจจุบัน มีการปลูกแพร่หลาย และมีห้องแล็บเพาะเนื้อเยื่ออยู่ในประเทศอังกฤษด้วย โดยสายพันธุ์นี้ได้รับฉายาว่าเป็น “แอปเปิ้ลแห่งตะวันออกกลาง”

ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ เมดจูล (Medjool หรือ Medjhol หรือ Medjull) หรือ บางครั้งเรียกว่า สายพันธุ์อัมบาต (Ambatt) หรือมีอีกชื่อว่า พันธุ์ 7 ศอก เป็นพันธุ์อินทผลัมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตอนนี้ เป็นพันธุ์ที่ให้ผลสำหรับกินผลแห้ง มีแหล่งกำเนิดในประเทศโมร็อกโก ได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งอินทผลัม”