เกษตรแจงปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ มีคำแนะนำใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย

นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยกรณีเพจ MOREMOVE นำเสนอข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ระบุว่า พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานในผักไฮโดรโปนิกส์มากกว่าผักปลูกโดยใช้ดินว่า กรมวิชาการเกษตร มีภารกิจในการกำกับดูแลและให้การรับรองแหล่งผลิตพืช ในระบบ GAP และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งรวมถึงการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ด้วย ซึ่งเป็นการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน อาศัยการให้ธาตุอาหารในรูปแบบสารละลาย แต่การปลูกบางพื้นที่ยังใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ รวมทั้งการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ไม่ใช่การทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรจึงสามารถใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตรายได้ และเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกับการปลูกพืชในระบบ GAP หรือการปลูกพืชในระบบอื่น ซึ่งหากปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวจะไม่มีสารตกค้างในผลผลิตแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชในดินโดยปกติสารเคมีจะมีการสลายตัวได้เร็ว เนื่องจากปัจจัยของอุณหภูมิและแสงแดด รวมทั้งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยสลายสารเคมีลงไปในดิน แต่การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินหรือในโรงเรือนจะไม่มีจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยจึงสลายตัวได้ช้า อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตร มีคำแนะนำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในโรงเรือนใช้ชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโครเดอร์มา และไส้เดือนฝอย ทดแทนการใช้สารเคมี หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้ตามคำแนะนำในฉลากและเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวให้ถูกต้อง

ส่วนการให้การรับรองแหล่งผลิตแล้วกรมวิชาการเกษตรยังมีมาตรการในการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผลผลิต โดยติดตามสุ่มเก็บตัวอย่างผลผลิตแล้วนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในห้องปฏิบัติการ โดยสุ่มเก็บทั้งในแปลงซึ่งเป็นแหล่งผลิต จุดรวบรวมผลผลิตและในโมเดิร์นเทรด ซึ่งเป็นแผนงานประจำทุกปีและเพิ่มแผนการสุ่มตรวจในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษจีน และปีใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยในปี 2561 นี้ ได้มีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างทั่วประเทศ รวมจำนวน 9,000-10,000 ตัวอย่าง

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตร ยังได้จัดทำโครงการวิจัยเร่งด่วน โดยสำรวจสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย และวิจัยสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ ที่มีความเสี่ยงจากสารเคมีทางการเกษตรด้วย โดยสำรวจและติดตามผลกระทบในน้ำและดิน มีเป้าหมายในการเก็บชนิดและจำนวนตัวอย่าง 800 ตัวอย่าง เพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง

“การสุ่มตัวอย่างพืชผักที่จำหน่ายในประเทศเป็นการกำกับดูแล ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมวิชาการเกษตร สุ่มตรวจสารตกค้างในพืชที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP หากพบเกินค่ามาตรฐานจะดำเนินการแจ้งเตือนเกษตรกรให้ปรับปรุงแก้ไข หากไม่แก้ไขจะมีการพักใช้หรือเพิกถอนการรับรองต่อไป อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตร ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค โดยดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม และสาธารณสุขจังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว

 

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์