ปางมะนาว กลุ่มเลี้ยงโคขุน ดีเด่นแห่งชาติ

วันที่ 16 มิถุนายน 2546 นับเป็นวันสำคัญของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อบ้านปางมะนาว ตำบลหินดาต อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร  ด้วยเป็นวันจัดตั้งกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนบ้านปางมะนาว โดยมีสมาชิกเริ่มต้น 11 ราย และจากก้าวแรกของการเริ่มต้นจนมาถึงวันนี้ การดำเนินงานของกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนบ้านปางมะนาวได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีผลงานต่าง ๆ ออกมาให้เห็นอย่างเด่ชัด จนกลายเป็นกลุ่มเกษตรกรตัวอย่างของจังหวัดกำแพงเพชร

กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนบ้านปางมะนาว ตั้งอยู่เลขที่ 49 หมู่ 11 ตำบลหินดาต อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร  โทร. 087-729 -0765 ปัจจุบัน มีสมาชิก 37 คน และมี นายไพบูลย์ ศรีภักดี เป็นประธานกลุ่ม มีคณะกรรมการบริหาร 7 คน ทุนดำเนินการ  606,800 บาท มีทรัพย์สินมูลค่า 471,500  บาท  มีผลผลิตโคขุนออกสู่ตลาดทั้งคอกรวม และคอกแยกไม่น้อยกว่า  300  ตัว ต่อรุ่น (4 เดือน)

รวมกลุ่มแก้ปัญหา จากที่ต่างคนต่างทำ

กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนบ้านปางมะนาว เดิมเกษตรกรประกอบอาชีพปลูกมันสำปะหลังเพียงอย่างเดียว  ต่อมาปี 2546  ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มฯ เพื่อหาเงินไปซื้อโคมาเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม

“ตอนแรกมีลักษณะต่างคนต่างเลี้ยง ไม่มีระบบการจัดการที่ดี ทำให้ประสบปัญหาด้านการตลาดและราคาตกต่ำ พอต่างคนต่างเลี้ยง ต่างคนต่างขาย ก็ทำให้ไม่สามารถต่อรองราคากับพ่อค้าได้ ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ จึงมีแนวคิดในการรวมกลุ่ม”

ทั้งนี้ ในการรวมกลุ่มนั้นมีเป้าหมายเพื่อเลี้ยงโคในลักษณะคอกรวม ให้สมาชิกร่วมกันเรียนรู้และเลี้ยงโคขุน  นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมเงินจากสมาชิกและกู้เงิน ธ.ก.ส. เพิ่มเติม นำมาบริหารจัดการกลุ่ม มีการสร้างโรงเรือนเพื่อเลี้ยงโคขุนในคอกรวม รวมทั้งไปศึกษาดูงานที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเรียนรู้วิธีการเลี้ยงโคขุน

สำหรับเงินกู้ที่ได้รับมานั้น แบ่งเงินกู้เป็น 2 ส่วน เพื่อซื้อโคเข้าขุนในคอกรวมและให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อซื้อโคไปเลี้ยงที่บ้านตนเอง พร้อมทั้งจำหน่ายวัตถุดิบอาหารข้นเพื่อให้สมาชิกซื้อไปผสมใช้เองตามสูตรอาหารที่กลุ่มได้กำหนดขึ้น

ส่วนปัญหาเรื่องการตลาด ทางกลุ่มแก้ไขโดยการติดต่อโดยตรงกับฟาร์มที่ซื้อโคไปขุนและพ่อค้าคนกลาง รวมทั้งติดต่อซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ ในช่วงที่โคราคาตกต่ำกลุ่มได้แก้ปัญหาโดยการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลดจำนวนโคที่ขุนและซื้อโคที่มีขนาดเล็กเพื่อลดต้นทุนการผลิต

จากการดำเนินงานของที่มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2549 กลุ่มได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับทำการจัดซื้อที่ดินสร้างที่ทำการกลุ่มฯ และดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

บริหารจัดการชัดเจน เน้นกิจกรรมมีส่วนร่วม

สำหรับการบริหารจัดการกลุ่มนั้น ทางกลุ่มได้เน้นถึงการมีระบบบริหารจัดการกลุ่มที่ชัดเจน มีกิจกรรมก้าวหน้า  มีสมาชิกเข้าร่วมมากขึ้น โดยเปิดรับสมาชิกในหมู่บ้านและใกล้เคียงเข้าร่วม นับตั้งแต่ปี 2550 ทางกลุ่มฯ ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบโดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม มีระเบียบการบริหารจัดการกลุ่มที่ชัดเจน และใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยระเบียบที่สมาชิกต้องปฏิบัติ อาทิ

ในส่วนของคณะกรรมการ จะมีบทบาทหน้าที่ชัดเจน รวมถึงมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่ต้องปฏิบัติ เช่นการประชุมคณะกรรมการจะมีปีละ 3 ครั้ง เกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายโคขุนแต่ละรุ่น ขณะที่การประชุมใหญ่ปีละครั้งในเดือนธันวาคมเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและวางแนวทางการบริหารจัดการกลุ่มในแต่ละปี

ทั้งนี้ ในส่วนบทบาทและการมีส่วนร่วมของสมาชิกก็เช่นเดียวกัน ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบโดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม มีระเบียบการบริหารจัดการกลุ่มที่ชัดเจน  เช่น

  • การประชุมใหญ่ปีละครั้งในเดือนธันวาคม เพื่อสรุปผลการดำเนินงานและวางแนวทางการบริหารจัดการกลุ่มในแต่ละปี
  • คณะกรรมการกลุ่มฯ ประชุมปีละ 3 ครั้ง เพื่อปรึกษาสภาพปัญหาการเลี้ยง การซื้อขายโคในแต่ละรุ่น
  • สมาชิกกลุ่มฯ เข้าร่วมประชุมประจำเดือนเพื่อออมเงินสัจจะ ร่วมปรึกษาหารือ กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น อาทิ ปัญหาแมลงวันในคอกสัตว์ ปัญหาราคาโคตกต่ำ ฯลฯ
  • สมาชิกต้องดำเนินการตามแผนการเลี้ยงโคขุน รวมถึงมีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตของกลุ่ม โดยต้องหมุนเวียนมาดูแลทุกอย่างในคอกรวม รวมทั้งร่วมดำเนินการตามแผนการเลี้ยงโคขุน ได้แก่ การเลี้ยงโคขุนในคอกตนเอง การผสมอาหาร การป้องกันโรคและซื้อขายโค ตามวิธีปฏิบัติและข้อกำหนดที่สมาชิกร่วมกันกำหนดขึ้น อาทิ ลักษณะของโคที่เข้าขุน สูตรอาหารที่ใช้เลี้ยง การถ่ายพยาธิและฉีดวัคซีนป้องกันโรค การจัดการมูลโค รวมทั้งหลักเกณฑ์ และราคาในการจำหน่าย ตลอดจนศึกษาดูงานกับส่วนราชการต่างๆ

อีกสิ่งที่เป็นผลงานที่น่าสนใจของทางกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนแห่งนี้คือ การพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ โดยได้มีการส่งเสริมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงโคเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง โดยใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2549

ด้วยการสนับสนุนให้จัดตั้งเป็น กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนปางมะนาว 2 ชื่อ กลุ่มโครงการธนาคารขี้วัว ให้เยาวชนบริหารจัดการมีสมาชิก จำนวน  16  คน รวบรวมมูลโคส่งขายเพื่อสร้างรายได้

สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่มฯ ต้องการให้มีแผนที่จะจัดทำบ่อแก๊สเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ทำปุ๋ยอัดเม็ดโดยใช้มูลสัตว์ที่ได้จากบ่อแก๊สชีวภาพ รวมถึงการปลูกหญ้าพันธุ์ดี (หญ้าเนเปียร์ปากช่อง) เพื่อลดต้นทุนด้านอาหารสัตว์ และสร้างโรงเรือนใหม่เพื่อให้สมาชิกกลุ่มมาเช่าพื้นที่เลี้ยงเพื่อนำมูลเข้าบ่อแก๊สเพื่อผลิตไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังมีการทำโครงการฌาปนกิจกลุ่มให้กับสมาชิกในกลุ่ม ขยายกลุ่มโดยการเพิ่มจำนวนสมาชิกและจำนวนโคขุน ลดต้นทุนอาหารที่ใช้ขุนโดยใช้ยอดมันสำปะหลังในท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบในอาหารผสมสำหรับขุนโค

ตามไปดูรูปแบบการเลี้ยงโคขุน

ส่วนการเลี้ยงดูโคขุน ทางกลุ่มเน้นที่จะทำกิจกรรมในเชิงก้าวหน้า ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วม โดยแบ่งการเลี้ยงออกเป็น 2 ลักษณะ

หนึ่ง คอกรวมกลุ่ม ผู้เลี้ยงฯ ได้กำหนดให้สมาชิกทุกคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเพื่อเลี้ยงโคขุนรายละ 1 วัน  ระยะเวลาในการเลี้ยงปีละ 3 รุ่น รุ่นละ 4 เดือน โดยรุ่นที่ 1 เลี้ยงระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน รุ่นที่ 2 เลี้ยงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และรุ่นที่ 3 เลี้ยงระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม

สอง การเลี้ยงแยกรายฟาร์มที่บ้าน ของตัวเองตัวสมาชิกเอง กลุ่มฯได้ให้บริการเงินกู้ ดอกเบี้ย 8% ต่อปี  ทั้งยังมีบริการด้านสูตรอาหารข้นและอาหารหยาบที่กลุ่มจัดหามาบริการ นอกจากนี้ ในการซื้อขายโคต้องผ่านคณะกรรมการกลุ่มฯ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

การซื้อ-ขายโคของกลุ่มฯ อธิบดีกรมปศุสัตว์ บอกว่า คณะกรรมการกลุ่มฯ จะเป็นผู้ดำเนินการซื้อโคที่จะเข้าขุนที่ตลาดนัด ด้วยการซื้อเหมา ในอัตราตัวละ 14,000 บาท จำนวนรุ่นละ 40 ตัว

โดยพันธุ์โคที่นำเข้าขุนนั้น จะเป็นพันธุ์ลูกผสมบราห์มัน ระดับสายเลือด 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อายุ 2 ปีครึ่ง น้ำหนักประมาณ 200-230 กิโลกรัม โดยดูจากความสมบูรณ์พันธุ์ และโครงสร้างของโค

สำหรับการขายของกลุ่มฯ จะดำเนินการโดยคณะกรรมการเช่นกัน โดยตลาดที่มีรองรับโคขุนของทางกลุ่มจะมี 2 แห่งใหญ่ คือ หนึ่งที่ฟาร์มลุงเชาว์ จังหวัดสุพรรณบุรี และตลาดที่ประเทศมาเลเซีย

ทั้งนี้ น้ำหนักขายโดยเฉลี่ย อยู่ที่ตัวละ 380-400 กิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 65-70 บาท ทั้งนี้เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ในการเลี้ยงโคขุน 1 รุ่น จำนวน 40 ตัวนั้น ทางกลุ่มจะมีกำไรเหลือประมาณ 100,000 บาท

สำหรับในส่วนของอาหารข้นที่ใช้ภายในกลุ่มนั้น นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ทางกลุ่มฯ ได้มีการพัฒนาปรับปรุงสูตรอาหารข้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต จนได้สูตรอาหารที่ค่อนข้างลงตัวและเป็นที่พึงพอใจของสมาชิก

ทั้งนี้ ส่วนประกอบของสูตรอาหารข้น คือ ละอองข้าวโพด มันสำปะหลังแห้ง อาหารข้นสำเร็จรูป และต้นอ้อยบด แต่ถ้าไม่มี จะให้พืชตามฤดูกาลแทน เช่น กระถิน หรือ กากข้าวโพดบด

สูตรอาหารดังกล่าว จะให้โคขุนกินวันละ 2 มื้อ ในช่วงเช้าและเย็น ประมาณ 6 กิโลกรัม ต่อมื้อ ต่อตัว

ส่วนอาหารหยาบ จะมีแปลงหญ้าของกลุ่มและแยกรายสมาชิก โดยหญ้าอาหารที่ทางกลุ่มฯ ปลูกเป็นพันธุ์รูซี่ พื้นที่ประมาณ 4 ไร่ นอกจากนี้ จะมีการให้อาหารหยาบตามฤดูกาลด้วย เช่น ฤดูแล้ง ได้แก่ ข้าวโพดหมัก ต้นอ้อยและฟางแห้ง ส่วนฤดูฝนและฤดูหนาว ให้หญ้าสดและฟางแห้ง

ในเรื่องของการป้องกันโรคระบาดสัตว์ จะเริ่มตั้งแต่การนำโคเข้าขุน โดยสมาชิกจะมาช่วยกันในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย และยาถ่ายพยาธิ รวมถึงการให้วิตามินเสริม แต่หากเกิดกรณีโคป่วยระหว่างการเลี้ยง นอกจากการรักษาโรคตามปกติแล้ว ทางกลุ่มยังมีการใช้สมุนไพรเข้าใช้ในการรักษาโรคด้วย เช่น การใช้บอระเพ็ด เป็นต้น

การเลี้ยงโคขุนของทางกลุ่มยังมีผลพลอยได้ที่มาจากการเลี้ยง เช่น มูลโค ทางกลุ่มได้กำหนดระเบียบไว้ว่า มูลสดที่อยู่ในคอกเลี้ยงรวมนั้น จะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ที่มาทำหน้าที่เลี้ยงในวันนั้นๆ ซึ่งวิธีการจัดการมี 2 วิธี คือ หนึ่ง กรณีขายคืนให้โครงการธนาคารขี้วัวของกลุ่มเยาวชน จะขายในราคา 1 คันรถอีต๊อก เที่ยวละ 200 บาท สอง ให้สมาชิกนำกลับไปตากแห้งที่บ้านของตนเอง เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นปุ๋ยคอกในไร่นาของตนเอง

และหากมีการสั่งซื้อมูลโคตากแห้งจากบุคคลภายนอก ทางกลุ่มฯ จะจำหน่ายในราคา ตันละ 2,000 บาท

………………

เผยแพร่ทางออนไลน์เป็นครั้งแรก เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561