“เจริญ เขื่อนข่ายแก้ว” มือหนึ่งผลิตมะม่วงเขียวเสวยเพื่อการส่งออก

ถ้าถามเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงเชิงพาณิชย์ทั่วไปว่า มะม่วงพันธุ์ไหนขายได้ราคาดีที่สุดเราจะได้คำตอบว่ามะม่วงพันธุ์ “น้ำดอกไม้” โดยเฉพาะพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เพราะเป็นที่นิยมทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศมีการส่งเสริมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง นัยว่าถ้าพูดถึงมะม่วงไทยก็ต้องน้ำดอกไม้เท่านั้น

เก็บผลเขียวเสวยที่แก่เท่านั้น เพื่อรักษาคุณภาพ

กลุ่มสระแก้วผลิตทั้งน้ำดอกไม้และเขียวเสวยส่งออก ซึ่งมี คุณเจริญ เขื่อนข่ายแก้ว ประธานกลุ่มวิสาหกิจผู้ผลิตมะม่วงส่งออก จ.สระแก้ว และเป็นเจ้าของสวนรุ่งเจริญ เลขที่ 21 หมู่ 17 บ้านชัยมงคล ต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว 27210 โทร.086-1621835 กล่าวกับว่า เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงเกือบทุกรายจะเน้นแต่มะม่วงน้ำดอกไม้เพียงอย่างเดียวเพราะส่งออกได้ราคาดีกว่ามะม่วงพันธุ์อื่นแต่ผมและกลุ่มของผมมองว่าเราน่าจะทำมะม่วงเขียวเสวยด้วยเพราะในเขต จ.สระแก้ว มีพื้นที่ปลูกมะม่วงเขียวเสวยเป็นจำนวนมาก อีกอย่าง คือ ขณะนี้มะม่วงเขียวเสวยสามารถส่งขายต่างประเทศได้จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าเมื่อก่อน

“สวนรุ่งเจริญ” มีพื้นที่ปลูกมะม่วงประมาณ 500 ไร่ ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้และเขียวเสวยเป็นหลัก โดยมีพื้นที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้มากกว่าเขียวเสวยอยู่เล็กน้อย คุณเจริญบอกว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่นิยมปลูกเขียวเสวยเพราะคิดว่าราคาขายสู้น้ำดอกไม้ไม่ได้ แต่คุณเจริญกลับมองว่า ถ้าเราเปรียบเทียบกันจริงๆ รายได้จะไม่ต่างกันนัก ยกตัวอย่างในปีที่ผ่านมาขายมะม่วงน้ำดอกไม้เกรดเอส่งออกขายได้ราคากิโลกรัมละ 80-90 บาท เกรดรองขายให้แม่ค้าในจังหวัดระยองและตลาดสี่มุมเมืองได้ราคากิโลกรัมละ 60-65 บาท ส่วนที่เหลือ (ผิวไม่สวย)

เขียวเสวย สวนคุณเจริญ ติดผลดกมาก

ขายเข้าโรงงาน “ฟรีซดาย” ที่ จ.จันทบุรี ถ้าเราจัดการกับผลิตได้แบบนี้ก็จะมีกำไรสูง แต่บางครั้งเกษตรกรไม่สามารถหาตลาดส่งออกได้หรือเมื่อคัดมะม่วงเกรดเอส่งออก แล้วส่วนที่เหลือไม่สามารถหาตลาดมารองรับได้ เกษตรกรก็จะมีกำไรน้อย เนื่องจากการผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้มีขั้นตอนในการผลิตหลายขั้นเริ่มตั้งแต่จะต้องดูแลผิวให้สวย ต้องห่อผล พอเก็บก็ต้องมาแกะถุง

ซึ่งจะทำให้เรามีต้นทุนการผลิตที่สูงถ้าขายไม่ได้ราคาเกษตรกรจะไม่มีกำไรต่างกับเขียวเสวยที่มีขั้นตอนไม่มาก ไม่ต้องห่อผล เพียงแค่เราดูแลผิวให้สวยก็สามารถเก็บขายได้ราคา ในปีที่ผ่านมามะม่วงเขียวเสวยราคาแพงสุดอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนขายจากสวนได้ราคากิโลกรัมละ 50 บาทส่วนในช่วงอื่นราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท และช่วงเดือนมีนาคมจะทำส่งประเทศเวียดนามได้ราคากิโลกรัมละ 38 บาท

ตลาดเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่มีอนาคต คนเวียดนามเริ่มนิยมบริโภคมะม่วงเขียวเสวยจากประเทศไทย เพราะรสชาติหวานอร่อยและเราจะเน้นเก็บมะม่วงที่แก่จัดเท่านั้นเพื่อรักษาคุณภาพให้คงที่จะไม่เก็บมะม่วงอ่อนออกขายโดยเด็ดขาด ที่สวนรุ่งเจริญสามารถผลิตมะม่วงเขียวเสวยส่งเวียดนามได้ปีละกว่า 300 ตัน (3 แสนกิโลกรัม)

เทคนิคการผลิตมะม่วงเขียวเสวยให้มีคุณภาพดี ที่สวนคุณเจริญ จะผลิตมะม่วงเขียวเสวยปีละ 3 รุ่น คือ รุ่นแรกจะเก็บประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน รุ่นสองเดือนกุมภาพันธ์และรุ่นที่สามเดือนพฤษภาคม เนื่องจากปีหนึ่งเก็บผลผลิตมากถึง 3 ครั้งการดูแลจึงต้องดีเป็นพิเศษ คือหลังจากตัดแต่งกิ่งประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน คุณเจริญจะใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-0-0 อัตรา ต้นละ 2 กิโลกรัม เมื่อมะม่วงแตกใบอ่อนใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดประมาณต้นละ 2-3 กิโลกรัม การใส่ปุ๋ยอินทรีย์จะช่วยทำให้ต้นมะม่วงสมบูรณ์ ใบเขียวเป็นมัน

ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้เพื่อการส่งออก

หลังจากมะม่วงแตกใบอ่อนเสมอกันดีแล้วจะทำการราดสารแพคโคบิวทราโซลชนิด 10 เปอร์เซ็นต์อัตราต้นละ 15 กรัมต่อทรงพุ่ม 1 เมตร ใส่ปุ๋ยทางดินเพื่อเร่งการสะสมอาหารโดยใช้สูตร 8-24-24 อัตราต้นละ 2 กิโลกรัม ทางใบจะฉีดพ่นปุ๋ยสูตร 0-42-56 อัตรา 3 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร ( อัตรา60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร) ร่วมกับสาร “ไฮเฟต” อัตรา 1 ลิตร สารไฮเฟตจะช่วยยับยั้งการแตกใบอ่อน เร่งการสะสมอาหารได้ดี   ต่างจากคนอื่นที่จะนิยมใช้ปุ๋ย 0-52-34 ฉีดพ่นจุดนี้คุณเจริญแนะนำว่าถ้าใช้ปุ๋ย 0-52-34 ในการสะสมอาหารต้องใช้ถึง 10 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตรเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการใช้ปุ๋ยสูตร 0-42-56 จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า ในขณะที่ผลผลิตออกมาเหมือนกันจึงเลือกใช้เพราะเป็นการประหยัดต้นทุน

เมื่อสะสมอาหารได้ประมาณ 3-4 ครั้ง หรือนับจากวันราดสารแล้วประมาณ 60 วันขึ้นไปจะทำการเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยโปแตสเซี่ยมไนเตรท อัตรา 20 กิโลกรัมร่วมกับไทโอยูเรีย (เช่น ไทเมอร์) อัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตรฉีดพ่นจะทำให้มะม่วงออกดอกสม่ำเสมอ ในช่วงดอกจะต้องเน้นการดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการฉีดพ่นสารโบร่า เพราะจะทำให้มะม่วงติดผลดกและผลมีคุณภาพดี เนื้อแน่นไม่เป็นโพรง ถ้าทำมะม่วงส่งออกต้องเน้นเป็นพิเศษเพราะต่างประเทศเขาพิถีพิถันเรื่องเนื้อขาดเป็นโพรงมาก

คุณเจริญ เขื่อนข่ายแก้ว

ปัญหาดอกบานหน้าฝนกับโรคแอนแทรคโนส ในช่วงดอกบานปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือน้ำฝน ฝนจะพาโรคต่างๆ มาทำลายดอกมะม่วงของเรา โดยเฉพาะโรคแอนแทรคโนส คุณเจริญจะใช้วิธีฉีดยาเชื้อราป้องกัน ยาที่ใช้ประจำได้แก่ โวเฟ่น 500 ซีซีผสมกับแอนทราโคล 1 กิโลกรัมฉีดสลับกับอมิสตา 200 ซีซีผสมกับแอนทราโคล 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดสลับกัน 5-6 วันต่อครั้งถ้าฝนตกบ่อยให้ฉีด 3 วันครั้ง ในเรื่องการใช้สารโพคลอราชฉีดช่อดอกมะม่วงเขียวเสวย นักวิชาการมะม่วงหลายท่านห้ามใช้เพราะจะทำให้ดอกมะม่วงเสียหายแต่คุณเจริญใช้สูตรนี้มาตลอดยืนยันว่าไม่เสียแน่นอน

“จะต้องจำไว้เสมอว่าหลังฝนตกต้องฉีดพ่นยาเชื้อราทันทีห้ามปล่อยทิ้งไว้นานเด็ดขาดเพราะเชื้อโรคจะเข้าทำลายช่อดอก”

การขายผลผลิตให้ได้ราคาต้องรวมกลุ่มกันขาย กลุ่มวิสาหกิจผู้ผลิตมะม่วงส่งออก จ.สระแก้ว เกิดจากการรวมตัวกันของเกษตรกรผู้ทำสวนมะม่วงโดยมีคุณเจริญ เป็นประธานกลุ่ม ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 22 ราย มีพื้นที่ปลูกมะม่วงรวมประมาณ 10,000 ไร่ ผลิตมะม่วงคุณภาพดีส่งออกตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม ถือว่าเป็นกลุ่มที่ผลิตมะม่วงส่งออกมากที่สุดในประเทศ

ต้นเขียวเสวยออกดอกเต็มต้น

คุณเจริญยังบอกด้วยว่า การจะทำสวนมะม่วงให้ประสบความสำเร็จสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือการหาตลาด เมื่อก่อนเกษตรกรไม่มีการรวมตัวกัน การขายผลผลิตก็ต่างคนต่างขายแม่ค้าก็กดราคา ตลาดส่งออกก็ไม่มาติดต่อเพราะไม่มั่นใจในความต่อเนื่องของผลผลิตแต่เมื่อมีการรวมตัวกัน อำนาจการต่อรองก็สูงขึ้น ตลาดต่างๆ ก็มาหามากขึ้น กลุ่มสระแก้วเป็นกลุ่มที่มีการจัดการผลผลิตที่ออกมาอย่างดีเยี่ยม ทุกเดือนจะมีการประชุมของสมาชิกภายในกลุ่มเพื่อให้ทราบว่าผลผลิตของใครจะออกช่วงไหน ปริมาณเท่าไร เพื่อที่จะวางแผนการขายให้มีประสิทธิภาพ เช่นมะม่วงน้ำดอกไม้ จะวางแผนการเก็บให้สามารถคัดแยกเกรดได้หลายระดับ โดยจะคัดแยกเป็นการขายผลสดและเข้าโรงงานแปรรูป

การขายผลสด ก็จะแบ่งเป็นหลายตลาด เช่น ตลาดญี่ปุ่น ต้องการมะม่วงผิวสวย ขนาดผล 200-300 กรัม (ได้ราคาสูง 70-90 บาท) ส่วนผลขนาดใหญ่กว่า 300 กรัมก็จะขายตลาดจีนและเกาหลีใต้ (60-70 บาท) สำหรับมะม่วงที่เกรดรองลงมาก็จะส่งขายตลาดภายในประเทศ มะม่วงที่เหลือจากการคัดขายผลสดก็สามารถส่งขายโรงงานแปรรูปได้ ที่ส่งขายมากที่สุดได้แก่โรงงานฟรีซดายที่ บริษัท จันทรบุรีโกลบอล-เทรด จำกัด จังหวัดจันทบุรี ถือเป็นโรงงานที่รองรับผลผลิตของกลุ่มทั้งหมดเพราะใช้มะม่วงเกรดไม่สูงนัก

ผลเขียวเสวยผิวสวย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก

มาตรฐานมะม่วงที่จะส่งเข้าโรงงานฟรีซดาย 1.ความแก่ แก่จัด ประมาณ 90 % ขึ้นไป(จมน้ำทุกลูก) , 2.ผิว ไม่ต้องสวย เน้นคุณภาพเนื้อ ผิวสามารถมีร่องรอยการทำลายของแมลงได้แต่ต้องไม่เข้าถึงเนื้อใน , 3.ขนาดผล ผลมีขนาด 300 กรัมขึ้นไป รูปทรงมาตรฐาน , 4.ต้องไม่มีรอยโรคแอนแทรคโนส , 5.ต้องไม่มีการทำลายของแมลงวันทอง , 6.ความหวานไม่ต่ำกว่า 16 องศาบริกซ์ , 7.ตัดผลติดขั้วยาวประมาณ 1 เซนติเมตร , 8.ไม่จำเป็นต้องใช้ถุงห่อเกรด เอ อาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อผลกันการกระแทกและกันแมลงวันทองก็พอ , 9.จะต้องมีใบรับรองคุณภาพ GAP , 10.ต้องไม่พบสารเคมีตกค้าง ตามมาตรฐานส่งออก

ส่วนเรื่องแมลงศัตรูคุณเจริญจะเน้นการป้องกันเป็นหลัก เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราจะรู้ว่าระยะไหนแมลงชนิดใดจะเข้าทำลาย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อช่อดอกแทงยาวประมาณ 2 นิ้วจะมีหนอนมาทำลายเราก็จะฉีดยาฆ่าหนอน อาจจะใช้ยากลุ่มเมทโทมิล หรือ เซฟวิน-85 ก็ได้ ฉีดพ่นประมาณ 1-2 ครั้ง หนอนก็จะไม่ทำลาย หรือในระยะดอกบานเพลี้ยไฟจะระบาด ทางราชการเขาให้งดการฉีดพ่นสารเคมีเพราะจะไปทำลายแมลงที่มาช่วยผสมเกสรแต่จริง ๆ แล้วถ้าเราไม่ฉีดเพลี้ยไฟกินดอกมะม่วงเราหมดก่อนแน่ก็ต้องฉีด แต่การฉีดจะต้องเน้นใช้ยาที่ไม่ทำลายดอกเช่นกลุ่มยาผงอย่างสารโปรวาโด ส่วนยาน้ำมันที่ลงท้ายด้วย EC ให้พยายามหลีกเลี่ยงเพราะเป็นยาร้อนจะทำให้ดอกแห้ง เวลาฉีดก็ควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็นห้ามฉีดเวลากลางวันเพราะอากาศร้อนจัด

ส่วนระยะดูแลผล เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อนจะต้องฉีดปุ๋ยทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและลดปัญหาผลร่วงแนะนำให้ใช้ปุ๋ยเหลวสูตรเสมอหรือสูตรตัวหน้าสูงร่วมกับน้ำตาลทางด่วน ข้อดีของการใช้ปุ๋ยเหลวคือจะช่วยทำให้ผลมะม่วงโตเร็วและลดปัญหาผลแตกสะเก็ด ซึ่งถ้าใช้ปุ๋ยเกล็ดบางครั้งจะพบปัญหาผลแตกสะเก็ดขายไม่ได้ราคา ส่วนเรื่องเชื้อราในระยะนี้จะใช้สารแอนทราโคลฉีดป้องกันไว้ตลอดจนผลใกล้แก่จึงหยุดใช้ยาเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออก

อาการผิวแตกในมะม่วงเขียวเสวย (Bacterial Black Spot) เป็นโรคที่พบการทำลายมากโรคหนึ่งของมะม่วงสายพันธุ์นี้ อาการโดยทั่วไปจะพบรอยแตกของผิวเป็นรูปดาว แตกเป็นสะเก็ด และมักมีน้ำเยิ้มตรงขอบ มากน้อย แล้วแต่ความรุนแรงของเชื้อโรค สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas Campestris pv. Mangiferaeindicae โดยเชื้อสาเหตุดังกล่าวมักจะหลบอาศัยอยู่บริเวณกิ่งในทรงพุ่มของต้นมะม่วงเขียวเสวยนั่นเองและเชื้อดังกล่าวจะเข้าทำลายเมื่อผิวมะม่วงเริ่มมีรอยแตกหรือเป็นแผลที่ผล

การป้องกัน ป้องกันผลมะม่วงกระแทกกับกิ่งเป็นรอย โดยการตัดแต่งกิ่งในทรงพุ่มให้โปร่ง , ฉีดพ่นสารเคมีกลุ่มที่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบ เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ , ในช่วงอากาศร้อน ควรงดการฉีดพ่นปุ๋ยเกร็ด และยากลุ่มน้ำมัน เพราะจะทำให้ผิวแตกได้ง่าย , ปลูกต้นไม้โตเร็ว เช่น กล้วย , ไผ่เลี้ยง ฯลฯ เป็นแนวกันลมเพื่อไม่ให้ลมมีความแรงมากพอที่จะพัดผลมะม่วงเขียวเสวยกระแทกกับกิ่งหรือลำต้น