วันแตกบ้าน จังหวัดร้อยเอ็ด ความเชื่อที่สืบทอดมายาวนาน ปฏิบัติแล้วสบายใจ

ที่นี่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มีประเพณีแตกบ้าน โดยชาวบ้านจะหอบลูกจูงหลานออกจากบ้าน ไป รับประทานอาหาร ตามทุ่งนานอกหมู่บ้าน ทำพิธี นั่งนอน โดยมีแม่หม้ายเป็นคนไปเรียกให้ออกจากหมู่บ้าน จากนั้นเวลาประมาณ 20.00 น. จึงพากันกลับเข้าหมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง เป็นการสร้างกล ให้เภทภัยหายไป

คำว่า “แตกบ้าน” หมายถึงการอพยพเคลื่อนย้ายบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะบ้านเดิมมีเหตุเภทภัยต่างๆ นานา อาจเพราะเกิดโรคระบาดรุนแรง มีผีสางนางไม้อาละวาดในหมู่บ้าน มีผีห่าลงกินคนและสัตว์หรือเพราะความฝันและทำนายของพ่อกะจ้ำ (ผู้นำทางจิตวิญญาณให้หนีจากที่เดิม) ตลอดจนกลัวสัตว์ร้ายต่างๆ จะมาทำอันตราย ฯลฯ นั่นคือ ความหมายของการแตกบ้านที่เกิดจากสภาพจริง แต่ประเพณีการแตกบ้านในที่นี้คือการทำพิธีแตกบ้านหรืออพยพย้ายบ้านตามประเพณีความเชื่อเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันยังมีการปฏิบัติอย่างมากมายและค่อนข้างจะเคร่งครัดในบางท้องถิ่น ซึ่งมีความเป็นมาการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

  1. ความเป็นมา การแตกบ้านไม่มีใครทำการศึกษาและมีหลักฐานอ้างอิง จึงไม่ทราบความเป็นมาที่ชัดเจน ถามจากคนเฒ่าคนแก่ก็บอกทำตามประเพณีเกี่ยวกับวันอุบาทว์ วันอัปมงคลที่พ่อพราหมณ์กล่าวไว้เท่านั้น เพราะเชื่อกันว่าวันที่จะต้องทำพิธีแตกบ้านนั้น เป็นวันไม่ดี จะมีความเดือดร้อน อันตรายต่างๆ จะตามมาหากไม่ทำพิธีแตกบ้านไปอยู่ที่อื่น…เมื่อได้ปฏิบัติติดต่อกันมาเรื่อยๆ จึงกลายเป็นประเพณีไปในที่สุด
  2. วันเดือนปีที่ต้องแตกบ้าน พ่อพราหมณ์โบราณอีสานบอกว่าวันและเดือนที่จะต้องทำพิธีแตกบ้านคือวัน และเดือนต่อไปนี้

2.1 วัน วันที่ถือว่าเป็นวันอุบาทว์ วันจัญไร วันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก คือวันที่เลข 5 มาบรรจบกัน และตรงกับวันอังคาร คำว่า เลข 5 มาจบกันคือ วันขึ้นหรือแรม 5 ค่ำ เดือน 5 และตรงกับวันอังคารด้วย ถ้าไม่ตรงกับวันอังคารก็ไม่เป็นไร ส่วนปีไม่สำคัญจะเป็นปีอะไรก็ได้ หากวัน (ทางจันทรคติ) ดังกล่าวมาเจอกันต้องทำพิธีแตกบ้าน

2.2 เดือน สำหรับเดือนที่จะต้องแตกบ้านคือ เดือน 5 ดังได้กล่าวแล้วใน ข้อ 2.1 ส่วน อื่นๆ แม้วันดังกล่าวจะมาบรรจบกันก็ไม่ถือปฏิบัติ การถือเอาเดือน 5 หรือเดือนเมษายน เป็นเดือนแตกบ้าน อาจเป็นเพราะเดือนนี้เป็นเดือนที่แห้งแล้งอากาศร้อนความทุกข์ยากลำบากเข้าครอบคลุมแผ่นดินอีสาน ปราชญ์อีสานจึงกลัวความสูญเสียตามความเชื่อทางหมอพราหมณ์จึงได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งคพิธีปฏิบัติกิจกรรม เมื่อรู้ว่าวันดังกล่าวมาบรรจบกันผู้นำทางพิธีซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพ่อพราหมณ์ก็จะประกาศให้ลูกบ้านรู้ว่า วันนี้จะต้องมีการแตกบ้านตามประเพณี ลูกบ้านก็จะบอกลูกหลานให้เตรียมตัว ข้าวของอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ มีข้าว น้ำ อาหาร เป็นต้น เมื่อเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้พร้อมแล้ว คนเฒ่าคนแก่ก็จะพาลูกหลานเดินทางออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เช้า โดยออกเดินทางไปทางทิศตะวันออก ส่วนใหญ่จะพักอยู่ใกล้ๆ แหล่งน้ำ หนองน้ำ เพื่อความสะดวกในการทำมาหากิน หลังจากได้ที่พัก วางข้าวของเรียบร้อยแล้วพวกผู้ชายก็จะออกไปหาอาหารตามแหล่งน้ำบ้างทุ่งนาบ้าง ส่วนพวกผู้หญิงก็จะพากันพักผ่อนพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกัน เด็กๆ ก็จะเล่นไล่กันตามประสา เมื่อบรรดาพ่อบ้าน คนหนุ่มหาอาหารได้ พวกแม่บ้านก็จะพากันทำอาหาร รวมทั้งอาหารที่เตรียมมาจากบ้านเดิม ทำเสร็จแล้วร่วมกันรับประทานเป็นพาข้าววงใหญ่กลางทุ่งนาเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าประทับใจยิ่ง บางท้องถิ่นจะมีพระสงฆ์เดินทางมาด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการถวายอาหารเพลด้วย แต่ส่วนใหญ่พระสงฆ์จะไม่ร่วมในพิธีกรรมนี้ เพราะเป็นพิธีพราหมณ์ที่ชัดเจนมาก พอถึงตอนเย็นก็จะพากันเก็บข้าวของสัมภาระเครื่องใช้กลับบ้าน โดยมีพ่อพราหมณ์แต่งชุดพราหมณ์ (นุ่งขาวห่มขาวสะพายย่าม มือถือดาบ) เต็มยศเดินไปเรียกลูกหลานกลับบ้าน พ่อพราหมณ์จะทำเป็นบอกว่า “มาเด้อลูกหลานเอ้ย บัดนี้บ้านของเราอยู่เป็นสุขแล้ว ไม่มีเสนียดจัญไร ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว จงกลับบ้านพวกเฮาเถอะ” ชาวอีสานเรียกว่า ผู้มีบุญมาเรียกกลับบ้าน แต่ก่อนจะเดินทางกลับมามีการสนทนากันก่อน

คำสนทนาจะเป็นดังนี้

ชาวบ้าน : พ่อพราหมณ์มาจากไหน

พ่อพราหมณ์ : มาจากบ้านเราโน่นแหละลูกหลานเอ้ย

ชาวบ้าน : หมู่บ้านเราเป็นอย่างไร

พ่อพราหมณ์ : หมู่บ้านเราอยู่สุขสบาย

ชาวบ้าน : เหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร

พ่อพราหมณ์ : เหตุร้ายต่างๆ พ่อพราหมณ์ได้ขับไล่ออกไปหมดแล้ว

ชาวบ้าน : ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านได้ใช่ไหมพ่อพราหมณ์

พ่อพราหมณ์ : กลับบ้านได้แล้ว ที่มานี้ก็มาบอกเพื่อให้กลับบ้านนั่นแหละ

ผู้ที่มาเรียกชาวบ้านกลับบ้านนั้น บางท้องถิ่นจะมีพระมาเรียกด้วย เพราะพระคือที่พึ่ง คือขวัญและกำลังใจของชาวบ้าน และพระจะเป็นผู้ช่วยพูดกับพ่อพราหมณ์ แต่บางแห่งก็จะไม่มีพระมาเกี่ยวข้อง เพราะพระท่านถือว่าเป็นเรื่องของพราหมณ์ พระไม่เกี่ยว เมื่อสนทนากันตามประเพณีความเชื่อเสร็จแล้ว พ่อพราหมณ์ก็พาชาวบ้านเดินทางกลับบ้านต่อไปโดยต้องเดินทางเข้าไปวัดก่อนจะได้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง จึงแยกย้ายกลับบ้าน แต่ปัจจุบันจะแยกย้ายกลับใครกลับมันเลยเป็นส่วนใหญ่ และช่วงการสนทนากับพ่อพราหมณ์แต่ละแห่งก็แตกต่างกัน บางแห่งอาจดัดแปลงแต่งคำพูดไปต่างๆ นานาตามความเหมาะสมและค่านิยมของแต่ละแห่ง เมื่อชาวบ้านกลับบ้านก็เป็นเสร็จพิธี

เมื่อ วันที่ 16 มีนาคม 2553 ผมเป็นเกษตรตำบลอยู่ที่อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มาครั้งหนึ่ง ปี 2560 มาพบอีกตอนเป็นเกษตรอำเภอสุวรรณภูมิ เมื่อ 28 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมาครับ