วิทยาลัยเกษตรตรังเพาะพันธุ์ “ไก่เบตรัง” ไก่สายพันธุ์ใหม่ภาคใต้ เนื้อแน่นนุ่มอร่อย

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง นำไก่ 2 สายพันธุ์ชื่อดัง ทั้งไก่เบตง ซึ่งเป็นไก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและความอร่อย ของดีของจังหวัดยะลา มาผสมกับไก่พื้นบ้าน เมืองตรัง กลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า “เบตรัง” โดยหลังทดลองเลี้ยงประมาณ 3 เดือน ปรากฏว่า ไก่สายพันธุ์ใหม่นี้โตเร็ว ทนทานต่อโรค มีเนื้อแน่น แต่นุ่ม แถมยังรสชาติอร่อยเหมือนไก่เบตง

สำหรับการผสมข้ามสายพันธุ์ดังกล่าว เพื่อนำข้อดีของไก่เบตงกับไก่พื้นเมืองตรังมารวมกัน นั่นคือ ได้ขนาดตัวที่ใหญ่ของไก่เบตง และได้ความแข็งแรงของไก่พื้นเมือง ทำให้ไก่สายพันธุ์ใหม่นี้เลี้ยงง่าย เพราะกินทุกอย่างเหมือนไก่พื้นเมือง เช่น ผัก หญ้า ข้าว เพียงแต่เกษตรกรควรให้อาหารเสริมไปบ้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อและไข่

เนื่องจากไก่เบตรังสามารถออกไข่ได้เหมือนกับไก่ปกติ จึงทำให้ได้ทั้งไก่เนื้อ และไก่ไข่ในตัวเดียวกัน โดยหลังประสบความสำเร็จในปี 2559 ทางวิทยาลัยจึงเริ่มฟักไข่ไก่สายพันธุ์นี้ เพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรได้นำไปทดลองเลี้ยง มีตั้งแต่ลูกไก่อายุ 1 วัน น้ำหนักประมาณ 40 กรัม ราคาตัวละ 15 บาท, อายุ 7 วัน ตัวละ 20 บาท, อายุ 1 เดือน ตัวละ 50 บาท และอายุ 3 เดือน ตัวละ 100 บาท

นายประทิพย์ แก้วประทุม อาจารย์แผนกวิชาสัตวศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง ผู้คิดค้นไก่พันธุ์เบตรังรายแรกในจังหวัดตรัง กล่าวว่า ขณะนี้สามารถฟักไข่ไก่สายพันธุ์ใหม่ได้สัปดาห์ละ 1,000 ฟอง หรือเดือนละประมาณ 3,000 ฟอง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ทั้งในและต่างจังหวัด ที่มียอดสั่งซื้อเข้ามากว่า 100,000 ตัวแล้ว โดยเฉพาะโครงการอาหารกลางวัน ตามงบพัฒนาจังหวัดตรัง ที่มียอดสั่งซื้อเข้ามากว่า 70,000 ตัว

นายประทิพย์ กล่าวต่อว่า ทางวิทยาลัยกำลังเร่งปรับปรุงตู้ฟักไข่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณลูกไก่เบตรัง เดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 ฟอง สำหรับไก่สายพันธุ์นี้ เมื่ออายุ 3-4 เดือน โดยเฉพาะเพศผู้ จะมีน้ำหนักประมาณเกือบ 3 กิโลกรัม และสามารถจำหน่ายในรูปแบบไก่เนื้อได้แล้ว ส่วนเพศเมียหากเลี้ยงต่อไปอีก 2 เดือน ก็จะเริ่มออกไข่เฉลี่ยขนาด เบอร์ 4 หรือน้ำหนักฟองละ 50-54 กรัม ซึ่งถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าไข่ไก่พื้นเมืองทั่วไป

แถมยังมีการออกไข่สูงกว่าไก่เบตง คือ ประมาณเดือนละ 20-25 วัน โดยไก่เบตรัง จะออกไข่ต่อเนื่องกันไปประมาณ 16 เดือน หลังจากนั้น ก็สามารถนำมาจำหน่ายในรูปแบบไก่เนื้อได้อีกครั้ง ทำให้เกษตรกรมีรายได้มาจาก 2 ทางคือ ทั้งจากการขายไข่ และขายเนื้อ ถือว่าคุ้มค่ากว่าการเลี้ยงไก่สายพันธุ์อื่นๆ