ราคายางฮวบ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคครัวเรือนภาคใต้ลดวูบ

วันที่ 1 กรกฎาคม ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ได้ดำเนินการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2560 โดยเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนภาคครัวเรือน ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 420 ตัวอย่าง เป็นเพศหญิง ร้อยละ 57.40 และเพศชาย ร้อยละ 42.60 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 37.20 และมีระดับการศึกษาปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 32.10

ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ รายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาคครัวเรือนในพื้นที่ภาคใต้ เดือนมิถุนายน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม ส่วนหนึ่งมาจากผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่ราคาปรับตัวลดลงและผันผวนอย่างต่อเนื่องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รายได้จากการทำงาน โอกาสในการหางานทำ/ได้งานใหม่ รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องมาจากความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมัน และยางพารา ที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะราคายางพาราเดือนมิถุนายนที่ปรับตัวลดลงถึง 14 บาท โดยน้ำยางสดมีราคา 51 บาท (การยางแห่งประเทศไทย, 29 มิถุนายน 2560) ส่งผลให้รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ลดลง จึงทำให้การจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภค บริโภคต่าง ๆ ชะลอตัวและลดลง ส่วนรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการเดินทางท่องเที่ยวและกลับบ้านของประชาชนอิสลามในเทศกาลฮารีรายอ (25 มิถุนายน 2560) และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในช่วงฮารีรายอของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและสิงคโปร์
ขณะที่ผลคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และรายได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 24.70 และ 32.80 ตามลำดับ ส่วนความเชื่อมั่นต่อรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นในครัวเรือน และรายจ่ายด้านการท่องเที่ยว ในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 33.40 และ 29.70 ตามลำดับ โดยคาดว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ภาคครัวเรือนในพื้นที่ภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจ จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยจากราคาสินค้าเกษตร ยางพารา และปาล์มน้ำมัน

ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 29.50 รองลงมา คือ หนี้สินครัวเรือน และราคาสินค้า คิดเป็นร้อยละ 24.20 และ14.80 ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ หนี้สินครัวเรือน และราคาสินค้า ตามลำดับ