ตาลแว่น ตาลเหลว ภูมิปัญญาท้องถิ่น ของดีกะมิยอ เมืองปัตตานี

พื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีต้นตาลจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูก แต่เป็นตาลที่ขึ้นตามธรรมชาติ และธรรมชาติของต้นตาล จะมีอายุยืนยาวเกินร้อยปี ให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องบำรุงรักษาเหมือนพืชชนิดอื่น

ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำตาลแว่น และ น้ำตาลเหลว

ตำบลกะมิยอ มีทั้งสิ้น 7 หมู่บ้าน ในทุกหมู่บ้านมีชาวบ้านที่อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น เก็บน้ำตาลจากตาลโตนด นำมาแปรรูปเป็นตาลแว่น และ น้ำตาลเหลว สร้างรายได้

คุณรวิวรรณ มูลจันที ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เมืองปัตตานี ผู้ดูแลการศึกษานอกระบบในพื้นที่อำเภอเมือง บอกว่า พื้นที่ปลูกตาลโตนดในอำเภอเมืองมีมาก และมีการเก็บน้ำตาลโตนดมาแปรรูปเป็นตาลแว่น น้ำตาลเหลว ก็มากเช่นกัน แต่กรรมวิธีการผลิตจะต่างกัน ขึ้นกับภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น

“แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านแต่ละท้องถิ่นก็ผลิตน้ำตาลออกมาตามสูตรของแต่ละบ้าน แต่ละครัวเรือน แต่ครั้งนี้ ต้องขอแนะนำเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน และผลิตน้ำตาลแว่น รวมถึงน้ำตาลเหลว ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ 100 เปอร์เซนต์”

ผอ.กศน.เมืองปัตตานี แนะนำให้รู้จักกับเกษตรกรที่กล่าวถึง คือ คุณปาตีเมาะ มีฮะ ซึ่งปัจจุบันกศน.เมืองปัตตานี ได้เชิญมาเป็นวิทยากรน้ำตาลแว่น เมื่อจัดให้มีการอบรมหรือฝึกอาชีพให้กับนักศึกษากศน.และชุมชน เพราะคุณปาตีเมาะ เป็นนักศึกษาของกศน.เมืองปัตตานี มาตั้งแต่เริ่มสมัครเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษา กระทั่งปัจจุบัน เป็นนักศึกษาในระดับมัธยมศึกษาแล้ว ทั้งยังเป็นแม่บ้าน ที่เลี้ยงลูก จำนวน 14 คน ด้วยอาชีพการทำน้ำตาลแว่นและน้ำตาลเหลวจากตาลโตนด อีกทั้งตาลโตนดที่คุณปาตีเมาะ ผลิตมานั้นการันตีได้ว่า ไม่มีการเจือปนน้ำตาลทรายลงไป จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของหมู่ 4 ที่คุณปาตีเมาะอาศัยอยู่

“เดิมคุณปาตีเมาะ ผลิตและขายในหมู่บ้านเท่านั้น มีแม่ค้าจากตลาดเข้ามาซื้อไปขายที่ตลาดบ้าง หรือบางครัวเรือนที่ไม่ได้ผลิตน้ำตาลเองก็มาซื้อไปใช้ในครัวเรือน เพราะเป็นน้ำตาลโตนดแท้ 100 เปอร์เซนต์ ทางกศน.เห็นว่าเป็นเกษตรกรที่มีความตั้งใจสูง และเป็นนักศึกษาที่มีความตั้งใจศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม จึงให้กศน.ตำบลกะมิยอ ที่ดูแลเข้าไปส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ทำอยู่”

คุณรวิวรรรณ บอกด้วยว่า โอกาสที่ได้เพิ่มเติมมานอกเหนือจากการเข้าไปส่งเสริมการผลิตโดยกศน.ตำบลกะมิยอ คือ การที่คุณไชยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองปัตตานี ที่ให้แนวคิดว่า ควรนำน้ำตาลโตนดซึ่งแปรรูปขายในพื้นที่ ยกระดับเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ของชุมชน ระดับตำบล ระดับเมือง และระดับจังหวัด อีกทั้งยังมีนโยบายในการส่งเสริมให้ทุกอำเภอมี 1 อาชีพ และ 1 นวัตกรรมเด่น กศน.เมืองปัตตานี เล็งเห็นว่า น้ำตาลโตนด เป็นทั้งอาชีพและผลิตภัณฑ์เด่นของอำเภอเมืองปัตตานีอย่างหนึ่ง จึงส่งเสริมเพื่อยกระดับกลุ่มผู้บริโภคมาเป็นกลุ่มที่บริโภคสารจากธรรมชาติ หรือ กลุ่มผู้รักสุขภาพ

คุณอาดีลา บือราเหง ครูกศน.ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ผู้ใกล้ชิดคุณปาตีเมาะ เกษตรกรหญิงแกร่งของหมู่ 4 มาโดยตลอด ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้คุณปาตีเมาะ ผลิตน้ำตาลโตนดขายในหมู่บ้าน เมื่อศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากกศน. ก็ถือว่าเป็นนักศึกษาที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ กศน.ตำบลเองเห็นว่า แนวนโยบายและแนวความคิดที่ได้จากทางอำเภอ เมื่อนำมาผนวกกับผลิตภัณฑ์ที่คุณปาตีเมาะทำอยู่ จะสามารถพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำตาลโตนดได้

“กศน.ตำบล จึงเข้ามาส่งเสริมและประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับการสนับสนุน เช่น การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาน้ำตาลโตนด จากการแปรรูปเป็นน้ำตาลแว่น และน้ำตาลเหลว เป็นน้ำตาลผง น้ำตาลแว่นขนาดเล็ก เพื่อให้สะดวกต่อการบริโภคของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย”

ครูกศน.ตำบลกะมิยอ บอกอีกว่า การที่กศน.ตำบลเข้าไปส่งเสริมสนับสนุน เพราะทราบมาว่าตาลโตนดของคุณปาตีเมาะ ผลิตด้วยน้ำตาลโตนดแท้ 100 เปอร์เซนต์ จึงทดลองชิม สัมผัส ดูกรรมวิธีการผลิต เพื่อให้รู้ว่าเป็นของแท้คุณภาพจริงๆ เมื่อมีโอกาสพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์มีบรรจุภัณฑ์ที่ดี ก็เปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ได้เข้าถึงผู้บริโภคด้วยการนำผลิตภัณฑ์ไปวางจำหน่ายยังงานต่างๆ ของจังหวัด เพื่อทดลองตลาด ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้คุณปาตีเมาะ มีออเดอร์จากลูกค้าจากหลายจังหวัด ซึ่งนอกจากจะเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์แล้ว ยังทำให้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของจังหวัดปัตตานี เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย

คุณปาตีเมาะ มีฮะ เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำตาลโตนด และวิทยากรทำน้ำตาลแว่น หมู่ 4 ตำบลกะมิยอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เล่าว่า เธอและสามี มีลูกทั้งหมด 14 คน ซึ่งทั้งคู่มีอาชีพเพียงการทำนา 10 ไร่ และการเก็บน้ำตาลโตนด มาผลิตเป็นน้ำตาลแว่น และ น้ำตาลเหลว จำหน่าย และรายได้จากการผลิตน้ำตาลโตนดนี้ ก็สามารถเลี้ยงดูครอบครัว ลูกเรียนจบปริญญาตรีไปแล้วหลายคน

ในหมู่ 4 ที่คุณปาตีเมาะ อาศัยอยู่ มีเกษตรกรทำอาชีพเก็บน้ำตาลโตนดมาแปรรูปจำหน่ายอีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำทุกครัวเรือน เมื่อผลิตได้ก็วางจำหน่ายภายในหมู่บ้าน มีชาวบ้านในหมู่บ้านมาซื้อนำไปประกอบอาหารคาว หวาน และมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาซื้อ เพราะกิตติศัพท์น้ำตาลโตนดแท้ 100 เปอร์เซนต์ ของคุณปาตีเมาะ

คุณปาตีเมาะ บอกว่า ตาล เป็นพืชที่มีคุณค่า และมีประโยชน์ตลอดทั้งลำต้น น้ำตาลนำมาแปรรูปจำหน่าย ผลนำไปขาย ใบนำมาทำเป็นภาชนะใส่น้ำตาลกวนเพื่อตากเป็นน้ำตาลแว่น และยังนำไปใช้มุงหลังคาได้ด้วย ส่วนเนื้อไม้ เมื่อต้องตัดโค่นหรือตาย ก็เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและทนทานมาก

ตาล ให้ผลและน้ำตาลต่อเนื่องตลอดปี แต่ในฤดูที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ คือ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี เมื่อเก็บน้ำตาลมาแล้ว ในช่วงนั้นผลผลิตที่ได้จากตาลจะมีคุณภาพดีที่สุด

น้ำตาล ได้มาจากงวงหรือดอกของต้นตาล

คุณปาตีเมาะ เล่าว่า ต้องเลือกงวงที่ยาวที่สุดของต้น เมื่อติดผลเล็กๆ จะนวดที่ผลและงวง 4-6 วัน ผู้นวดจะพิจารณาเอง เมื่อเห็นว่านวดได้ที่แล้ว จะใช้มีดปาดตาลปาดลูกออกหมดเหลือเฉพาะแกนงวง แล้วทำน้ำหมักที่ทำจากน้ำโคลนหรือน้ำหมักสูตรของแต่ละครัวเรือน นำไปหมักกับแกนงวงไว้ โดยใช้กระบอกขนาดใหญ่แช่ น้ำหมักหรือน้ำโคลนนี้จะช่วยเร่งน้ำตาลออก ระยะเวลาหมัก 3-6 วัน

เมื่อผ่านช่วงการหมักแล้ว ให้ลองปาดเป็นรอยนิดเดียว แล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน เพื่อดูว่า น้ำตาลออกมากน้อยเท่าไหร่โดยยังไม่รองน้ำตาลตอนนั้น จากนั้น 2-3 วันที่ทิ้งไว้รอดูปริมาณน้ำตาลที่ไหลออกมา จึงนำกระบอกไปแขวนรองน้ำตาลที่หยด

“วิธีเก็บของเราไม่เหมือนกับภาคอื่น น้ำตาลที่หยดออกมามากพอเต็มปี๊บเหมือนกัน ในฤดูกาลที่ตาลให้ผลผลิตและน้ำตาลเยอะๆ สามารถนำมาทำน้ำตาลได้มากถึงวันละ 12 กิโลกรัม”

การทำน้ำตาลเหลว ต้องนำน้ำตาลสดมาเคี่ยวในกระทะ แล้วใส่ไฟด้วยฟืน ตั้งกระทะใหญ่บนเตาที่สร้างด้วยดิน ขนาดใหญ่เล็กขึ้นกับสูตรของแต่ละครัวเรือน แล้วกวนด้วยพายตลอดเวลา นานประมาณ 5 ชั่วโมง

ส่วนการทำน้ำตาลแว่น เคี่ยวด้วยวิธีเดียวกับการทำน้ำตาลเหลว แต่ใช้เวลาเคี่ยวนานกว่า ประมาณ 6 ชั่วโมง จากนั้นนำไปหยอดใส่แว่น (ภาชนะทำจากใบตาล ขดเป็นแว่นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว) ตากทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วเก็บไปจำหน่าย โดยไม่แกะออกจากแว่น

การเคี่ยวน้ำตาล ไม่ควรใช้แก๊ส เพราะความร้อนจะไม่สม่ำเสมอและควบคุมความร้อนไม่ได้ ไม่เหมือนการใช้ฟืน

เตา ถูกเรียกภาษาท้องถิ่นว่า นม วัสดุที่ใช้ปั้นเป็นเตา คือ ดิน และแต่ละครัวเรือนที่ผลิตน้ำตาล จะปั้นเตาให้มีขนาดตามแต่สูตร เรียกว่า นมโต นมเล็ก นมสูง นมต่ำ ตามภาพที่เห็น

ราคาจำหน่าย น้ำตาลแว่น ขายกิโลกรัมละ 80 บาท น้ำตาลเหลว ขายกิโลกรัมละ 100 บาท

คุณปาตีเมาะ วางจำหน่ายที่หน้าบ้านในชุมชน หากต้องการน่าจะต้องเข้าไปซื้อถึงที่ หรือลูกค้าที่อยู่ต่างถิ่น ต้องการน้ำตาลแว่น น้ำตาลเหลว ไม่เจือปน 100 เปอร์เซนต์ ก็สามารถสั่งล่วงหน้าได้ อาจต้องรอนิดหน่อย เพราะคุณปาตีเมาะ ไม่ได้ทำสต๊อกไว้ เป็นการผลิตวันต่อวันเมื่อมีออเดอร์เข้ามาเท่านั้น

สนใจติดต่อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ที่แปรรูปจากภูมิปัญญาชาวบ้าน คุณภาพ 100 เปอร์เซนต์ ได้ที่สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จังหวัดปัตตานี โทรศัพท์ 073-460-097