ผู้เขียน | จิรวรรณ โรจนพรทิพย์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“พระเมรุมาศ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางมณฑลพิธีท้องสนามหลวงนั้น เป็นผลงานของ “กรมศิลปากร” ที่ทุ่มเทหัวใจถ่ายทอดความจงรักภักดี ถวายงานก่อสร้างพระเมรุมาศเพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย อย่างงดงาม ยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติพระบรมราชอิสริยยศของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
แผนผัง “พระเมรุมาศ”
ดร. พรธรรม ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้ดูแลการออกแบบพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้อธิบายหลักการทำงานว่า ภูมิสถาปนิกจะทำหน้าที่ออกแบบพระเมรุมาศให้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสนามหลวง จะตั้งตรงไหนก็ได้แล้วแต่ตัวสถาปนิกจะวางแบบแปลน แต่ครั้งนี้ ตั้งใจออกแบบพระเมรุมาศอยู่ตรงแกนกลางให้สัมพันธ์กับ “วัดพระแก้ว วัดมหาธาตุฯ” ซึ่งเป็นโบราณสถาน ในเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของกรุงเทพมหานคร
การเลือกตำแหน่งที่ตั้งของพระจิตกาธาน สำหรับถวายพระเพลิง พระบรมศพฯ ใช้จุดตัดของเส้นทิศเหนือ-ใต้ ที่ลากจากยอดพระศรีรัตนเจดีย์ และเส้นทิศตะวันออก-ตก ที่ลากจากเขตพุทธาวาส วัดมหาธาตุฯ ซึ่งจุดตัดนี้เป็นที่ตั้งของบุษบกองค์ประธาน หากมองพระเมรุมาศฯ จากกึ่งกลางของทางเข้าด้านทิศเหนือ จะสามารถมองเห็นยอดพระศรีรัตนเจดีย์ (เจดีย์ทอง) ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ซ้อนอยู่ในบุษบกองค์ประธานพอดี
การออกแบบภูมิทัศน์พระเมรุมาศในครั้งนี้ ดร. พรธรรม ยึดคติความเชื่อ หลักโบราณราชประเพณี สำหรับเขตราชวัติ ซึ่งเป็นแนวรั้วกำหนดขอบเขตปริมณฑลของพระเมรุมาศทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย
- พระที่นั่งทรงธรรม เป็นพระที่นั่งสำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ประทับทรงธรรมในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระบรมศพ และเป็นที่สำหรับคณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน สมาชิกรัฐสภา ตลอดจนคณะทูตานุทูต เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
- พลับพลายก เป็นโถงใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงรอรับส่งพระบรมศพขึ้นราชรถ
- ศาลาลูกขุน เป็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะโถงทรงไทยชั้นเดียว ใช้เป็นที่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เฝ้าฯ รับเสด็จและร่วมพระราชพิธีสำหรับงานพระบรมศพ
- ทับเกษตร เป็นอาคารโถง หลังคาจั่ว ประดับตกแต่งลวดลายไทย สร้างอยู่ตรงมุมทั้งสี่ของมณฑลพิธี ใช้เป็นที่พักสำหรับข้าราชการที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ และร่วมพระราชพิธีสำหรับงานพระบรมศพ
- ทิม เป็นที่พักของพระสงฆ์ แพทย์หลวง เจ้าพนักงาน และเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธี สร้างติดแนวรั้วราชวัติทั้ง 4 ทิศ
สรวงสรรค์ในพระเมรุมาศ
พระเมรุ เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ที่อยู่ใจกลางจักรวาล ประกอบด้วยมหาสมุทรทั้ง 4 อยู่รอบเขาพระสุเมรุ ได้แก่ อุตรกุรุทวีป (ทิศเหนือ) บุพวิเทหะ (ทิศตะวันออก) ชมพูทวีปคือโลกมนุษย์ (ทิศใต้) และอมรโคยาน (ทิศตะวันตก)
ในอดีต ดร. พรธรรม เคยออกแบบ พื้นที่รอบฐานพระเมรุมาศของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในลักษณะป่าหิมพานต์ โดยประดับตกแต่งสวนด้วยไม้ดอกที่สวยงาม เขามอจำลอง ประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ ได้แก่ ช้าง โค สิงห์ ม้า ฯลฯ
แต่ครั้งนี้ ดร. พรธรรม ออกแบบให้เป็น “สระอโนดาต” ซึ่งเป็นสระน้ำในป่าหิมพานต์ อยู่รอบฐานพระเมรุมาศทั้ง 4 ด้าน เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงสนพระทัยเรื่องเกี่ยวกับน้ำเป็นพิเศษ โครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งสิ้น ดร. พรธรรม จึงเลือกใช้ “น้ำ” เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบฐานพระเมรุมาศในครั้งนี้
ดร. พรธรรม เล่าว่า พื้นสระอโนดาตประดับด้วยหินกรวดสีน้ำเงินเขียวขัดมัน ผสมกับหินเกล็ดแก้ว มีระบบน้ำล้นทำให้เกิดระลอกคลื่นน้ำที่สวยงาม ภายในสระอโนดาตประดับตกแต่งด้วยเขามอ สัตว์หิมพานต์ และไม้ดัดกระบวนไทยหลายรูปแบบ เช่น ไม้ตลกราก ไม้ฉาก ไม้หกเหียน ไม้ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไม้ดัดกระบวนไทยโบราณที่หายากจากวัดคลองเตยใน และเสริมแต่งด้วยพรรณไม้น้ำที่มีดอกสีเหลือง เช่น ลานไพลิน ว่านน้ำ ฯลฯ พร้อมติดตั้งเครื่องพ่นละอองหมอกน้ำบริเวณสระอโนดาต เสริมบรรยากาศประหนึ่งว่า พระเมรุมาศลอยอยู่เหนือมวลเมฆ
ดร. พรธรรม ออกแบบก่อสร้างสระน้ำ 4 แห่ง รอบลานพระเมรุมาศสำหรับปลูกบัวไทยหลายชนิด เนื่องจาก ดอกบัว สื่อความหมายทางปัญญาและความบริสุทธิ์ทางพุทธศาสนาอีกด้วย นอกจากนี้ พื้นคอนกรีตบล็อกที่ปูรอบฐานพระเมรุมาศ ถูกออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ โดยผสมเกล็ดแก้ว ยามต้องแสงไฟจะสะท้อนแสงระยิบระยับรอบองค์พระเมรุมาศ เสมือนมีดาวกะพริบแสงพราวอยู่บนสรวงสวรรค์
สวนของพ่อ “กษัตริย์เกษตร”
พื้นที่ด้านนอก รั้วราชวัติด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระเมรุมาศ “น้ำ” ถูกใช้เป็นสื่อ สะท้อนพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผ่านโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้อยู่ดีกินดี เช่น ฝายน้ำล้น การขุดบ่อแก้มลิง กังหันน้ำชัยพัฒนา ซึ่งมูลนิธิชัยพัฒนานำกังหันมาใช้ในบริเวณบ่อน้ำ จำนวน 2 ตัว
นอกจากนี้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ได้จัดหาพันธุ์หญ้าแฝกมาปลูกในพื้นที่ และปลูกพันธุ์พืชในโครงการพระราชดำริ เช่น ต้นยางนา (ไบโอดีเซล) มะม่วงมหาชนก และออกแบบเชิงสัญลักษณ์ ให้เห็นคันนาเลข ๙ ทำจากดินชนิดพิเศษสีทอง สื่อความหมายว่า พระเมรุมาศที่สร้างขึ้น ถวายให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9
ด้านกรมการข้าว รับหน้าที่จัดหาพันธุ์ข้าวประกอบด้วย พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในระยะแตกกอ พันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ในระยะกล้า และพันธุ์ข้าวปทุมธานี 80 ในระยะออกรวง มาปลูกในเนื้อที่ 1 ไร่ บริเวณคันนาเลข ๙บริเวณทางเข้ามณฑลพิธี ด้านทิศเหนือ เพื่อแสดงถึงพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ให้ประชาชนไทยได้เรียนรู้
นิทรรศการ “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์”
ภายหลังเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิง ทางสำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมในเขตมณฑลพิธี โดยกรมศิลปากรรับหน้าที่จัดการนิทรรศการ ภายใต้ชื่อ “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” ซึ่งจัดขึ้นภายในอาคารพระที่นั่งทรงธรรม แบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่
- เมื่อเสด็จอวตาร
- รัชกาลที่ร่มเย็น
- เพ็ญพระราชธรรม
- นำพระราชไมตรี
- พระจักรีนิวัตฟ้า
บริเวณพระที่นั่งทรงธรรมจะจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ส่วนศาลาลูกขุน นำเสนอนิทรรศการเรื่องการจัดสร้างพระเมรุมาศ การปั้นเทวดาและสัตว์ป่าหิมพานต์ การซ่อมราชรถ การจัดสร้างพระโกศจันทน์และพระโกศพระบรมอัฐิ และศาลาทับเกษตร จัดแสดงพระเมรุมาศจำลองให้คนตาบอดได้สัมผัส
นิทรรศการ “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” กำหนดเวลาให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการ ตั้งแต่ วันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2560 เวลา 07.00-21.00 น. โดยแบ่งผู้เข้าชม เป็น 4 กลุ่มคือ ประชาชนทั่วไป ผู้พิการ นักท่องเที่ยวและพระสงฆ์ จะมีอาสาสมัครนำชมนิทรรศการ พร้อมทั้งจัดมหรสพบรรเลงเพลงปี่พาทย์ที่ใช้ในพระราชพิธี ให้ประชาชนได้มีโอกาสรับชมรับฟังตลอด 1 เดือนเต็ม สำหรับการเข้าชมนิทรรศการ กำหนดจุดคัดกรองผู้เข้าชมนิทรรศการ 3 จุด ได้แก่ แม่พระธรณีบีบมวยผม หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน และท่าช้าง จากนั้นจะมีจุดพักคอยเข้าชมพระเมรุมาศและนิทรรศการบริเวณด้านในสนามหลวง ทิศเหนือ