From Soil to Silk “กลุ่มจุลไหมไทย” ชูกลยุทธ์ควบคุมการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“กลุ่มจุลไหมไทย” ดำเนินธุรกิจผลิตเส้นไหมเพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอครบวงจร พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและผลิตเส้นไหมคุณภาพภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศจนปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเดียวกันของอาเซียน พร้อมทั้งยังมีกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรโดยมุ่งส่งมอบคุณค่าจากธรรมชาติไปยังผู้บริโภค

คุณจงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึงเส้นทางแห่งความสำเร็จว่า “กลุ่มจุลไหมไทย” เป็นธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งโดย คุณปู่ “กำนันจุล คุ้นวงศ์” เมื่อ 85 ปีที่ผ่านมา โดยมีวิสัยทัศน์ที่ต้องการอยากทำธุรกิจการเกษตรเพื่อสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

พร้อมกับทำประโยชน์ให้กับสังคมและส่งต่อสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าโดยเริ่มจากการทำสวนปลูกส้มเขียวหวานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศขณะนั้น จนแนวคิดดังกล่าวถูกส่งต่อมายังตนเองในฐานะทายาทธุรกิจรุ่นที่ 3 ได้นำไปเป็นพันธกิจขับเคลื่อนองค์กรปัจจุบัน

ทั้งนี้ “กลุ่มจุลไหมไทย” มี 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้

  1. กลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรที่เป็นธุรกิจดั้งเดิม กว่า 80 ปี ภายใต้แบรนด์ “ไร่กำนันจุล”
  2. กลุ่มธุรกิจไหม ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักกว่า 50 ปี ภายใต้แบรนด์ “จุลไหมไทย”

สำหรับกลุ่มธุรกิจไหม ได้ก่อตั้งขึ้นในชื่อ “บริษัท จุลไหมไทย จำกัด” ในปี 2511 เป็นบริษัทแรกเพื่อผลิตรังไหมพร้อมกับจัดตั้งโรงงานสาวไหม โดยได้มุ่งเน้นส่งเสริมอาชีพเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและผลิตเส้นไหมคุณภาพภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศเพราะในอดีตการจะหาเส้นไหมคุณภาพมาใช้เพื่อการผลิตแบบอุตสาหกรรมนั้นประเทศไทยยังไม่สามารถมีผู้ประกอบการรายไหนทำได้ พร้อมทั้งยังใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่นมาผลิตเส้นไหมคุณภาพ

ก้าวใหม่ “จุลไหมไทย” ในฐานะรายใหญ่สุดของอาเซียน

คุณจงสฤษดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อมีกำลังการผลิตสูงขึ้นและมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้ผลิตเส้นไหมรายใหญ่ที่สุดในแถบประเทศอาเซียน กลุ่มธุรกิจไหมจึงได้จัดตั้งหน่วยงานและบริษัทเพิ่มเพื่อรองรับกับการบริหารงานในด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร คือ บริษัท จุลไทย แอคโกร-อินดรัสตรี จำกัด โดยเป็นการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์จากประเทศญี่ปุ่นดำเนินงานด้านการพัฒนาและผลิตไข่ไหมพร้อมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ไหมที่เหมาะสมกับภูมิอากาศแต่ละฤดูของประเทศไทย

บริษัท จุลไทยฟอกย้อม จำกัด ดำเนินงานด้านการย้อมสีเส้นไหมด้วยสีย้อมคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการนำเข้าเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสีคุณภาพสูงจากประเทศอิตาลีมาใช้ภายในโรงงาน ซึ่งสามารถควบคุมคุณภาพและแก้ Pain Point ให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจสิ่งทอที่มีปัญหาเรื่องการฟอกย้อมแล้วสีตกได้เป็นอย่างดี

บริษัท จุลอินเตอร์ซิลค์ จำกัด ดำเนินงานด้านการผลิตเส้นไหมคุณภาพสูงเพื่อการส่งออก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ไหมแปรรูป ซึ่งธุรกิจนี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศอีกด้วย โรงเรียนสอนการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม บริหารงานโดย มูลนิธิจุลไหมไทยซึ่งได้รับงบประมาณการสนับสนุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ดำเนินงานด้านการสอนเกษตรกรหม่อนไหมให้มีความรู้

เพื่อประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้อย่างยั่งยืนและสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพ ต่อมาได้จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาไหมไทย” เพื่อขยายความช่วยเหลือจากเดิมที่จำกัดอยู่แค่เพียงเกษตรกร ไปสู่การช่วยเหลือทุกคนที่เกี่ยวข้องในวงการไหมไทย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งระบบ

“เราถือเป็นเจ้าแรกที่ประสบความสำเร็จจากการนำวิทยาการด้านการผลิตเส้นไหมมาใช้สำหรับอุตสาหกรรม โดยการนำพันธุ์ไหมจากต่างประเทศมาวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้สามารถเพาะเลี้ยงในประเทศไทยได้อย่างเหมาะสมกับลักษณะภูมิอากาศและสร้างผลผลิตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งภารกิจนี้ต้องใช้เวลานานหลายปีเมื่อสำเร็จแล้วจากนั้นจึงนำไปขยายผลส่งต่อและส่งเสริมให้กับเกษตรกรทั้งเกษตรกรทั่วไปและผู้สนใจเป็นเครือข่าย Contract Farming ที่มาจากโรงเรียนสอนการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วย”

สร้างแรงจูงใจให้ Contract Farming ด้วยการเพิ่มผลตอบแทน

ปัจจุบันกลุ่มจุลไหมไทย มีเกษตรกรที่เป็นสมาชิกเครือข่ายประมาณ 5,000 ครอบครัว ใน 39 จังหวัด ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้เป็นกลุ่มที่บริษัทเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่ได้มาตรฐานและคุณภาพสูงในรูปแบบ Contract Farming พร้อมกับการประกันราคารับซื้อรังไหมตามคุณภาพของผลผลิต

โดยในส่วนของราคาประกันนั้นจะมีการประกาศราคาล่วงหน้าก่อน 1 ปี หรือในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี ที่สำคัญยังให้มีการยืนราคาเดิมและให้ราคาที่เป็นธรรมโดยไม่เคยมีการลดราคาประกัน แต่จะเป็นการเพิ่มราคาประกันให้กับเกษตรกรที่เป็นสมาชิก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้หันมาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและขยายผลไปสู่เกษตรกรรายอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย

สร้างกลยุทธ์พัฒนาสายพันธุ์ไหมให้เป็นจุดแข็ง

คุณจงสฤษดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ “กลุ่มจุลไหมไทย” สามารถแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ “สายพันธุ์ไหมที่มีคุณภาพ และเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ดีที่สุดของโลก” จนทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมและผู้พัฒนาสายพันธุ์ไหมทั่วโลกมีความต้องการซื้อเพื่อไปขยายต่อ

โดยที่ผ่านมาตนเองได้ให้ความสำคัญในการศึกษาและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศในการส่งไข่ไหมไปเพาะพันธุ์และทดลองเลี้ยง เช่น สาธารณรัฐมาดากัสการ์, คิวบา, อินเดีย และ สปป.ลาว. เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้พันธุ์ไหมแข็งแรง เลี้ยงง่าย มีความทนทานต่อโรค สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายของไทยได้ดีแม้ในช่วงฤดูฝนที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูง ซึ่งจะนำไปสู่การให้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ มีคุณภาพเส้นไหมเป็นที่ยอมรับของตลาด

ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการการันตีว่า “กลุ่มจุลไหมไทย” สามารถควบคุม Supply Chain หรือขั้นตอนการผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตามแนวคิด “From Soil to Silk” ทำให้เป็นเจ้าแรกในโลกที่ได้รับรองเส้นไหมออร์แกนิกตาม มาตรฐาน Global Organic Textile Standards (GOTS) จาก Control Union

ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบจากยุโรปที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมาตรฐาน Organic Thailand จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งช่วยยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเส้นไหมที่เป็นวัตถุดิบสำคัญนำไปสู่การผลิตสินค้าในแบบพรีเมี่ยมได้อย่างลงตัว

มุ่งชิงส่วนแบ่งตลาดไหม พร้อมหนุนประเทศไทยขึ้น TOP 3 ของโลก

สำหรับสถานการณ์การผลิตเส้นไหมปัจจุบันของโลกพบว่า ยังอยู่ในสถานการณ์การขาดแคลนรังไหมและเส้นไหมนับตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา เพราะประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตไหมรายใหญ่ที่ครองตลาดโลก 80% ลดการผลิตไหมลงอีก 10% เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันไปทำงานในเมืองมากขึ้นและลดความสำคัญของงานเกษตรกรรมลง ทำให้ราคารังไหมและเส้นไหมในตลาดโลกขยับสูงขึ้นตามไปด้วย

ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นโอกาสดีของไทยที่จะเข้าไปชิงส่วนแบ่งในตลาดโลก เช่นเดียวกับ “กลุ่มจุลไหมไทย” ที่เล็งเห็นช่องว่างในการทำตลาดดังกล่าว โดยขณะนี้ตนเองอยู่ระหว่างการวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตไหมให้ได้มากขึ้นอีกเท่าตัว หรือจากเดิมที่มีกำลังการผลิต 2,000 ตันต่อวัน เป็น 5,000 ตันต่อวัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ผลิตเส้นไหมจากอันดับที่ 4 สู่อันดับที่ 3 ของโลกได้

“ปัจจุบันไหมของเราถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสิ่งทอและเป็นวัตถุดิบสำคัญให้กับแบรนด์เสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงและคุณภาพสูง ทั้งยังต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์คอลเล็กชั่นพิเศษที่ทำจากไหมออร์แกนิกที่มีความพิเศษได้ ซึ่งกว่า 90% ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในประเทศไทยจะเลือกใช้สินค้าของเราเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการผลิตเครื่องนุ่งห่มในประเทศญี่ปุ่นที่นำไหมของเราไปผลิตชุดกิโมโน เพราะเขาเล็งเห็นว่าเนื้อผ้ามีความพิเศษและโดดเด่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง”

“ไร่กำนันจุล” กับแนวคิดการส่งมอบคุณค่าจากเกษตรกรสู่ลูกค้า

คุณจงสฤษดิ์ กล่าวถึงในช่วงท้ายกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรโดย บริษัท ไร่นายจุล คุ้นวงศ์ จำกัด ว่าปัจจุบันมีสินค้าเกษตรคุณภาพภายใต้แบรนด์ “ไร่กำนันจุล” อาทิ ปลาส้ม, ผักสด, ผลไม้สด, และน้ำผลไม้เข้มข้น เป็นต้น พร้อมทั้งมีอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร โดยนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้ปรับลดจำนวนรายการสินค้าเกษตรที่ในอดีตอาจมีมากเกินไป แล้วเปลี่ยนมาเป็นโฟกัสกลุ่มสินค้าเกษตรที่มี Demand และความต้องการตลาดสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังมีการนำระบบ Contract Farming ซึ่งเป็นแนวทางที่ตนเองมองว่าเหมาะสมกับ “กลุ่มจุลไหมไทย” ที่มีความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญมาใช้ในการจัดการเพื่อความสม่ำเสมอของแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมาเข้าสู่กระบวนการแปรรูปและจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตขายแน่นอน ด้วยการประกันรายได้หรือประกันราคาสินค้าล่วงหน้า หรือกระตุ้นให้เกษตรกรยกระดับคุณภาพด้วยการเพิ่มราคาให้ตามเกรดวัตถุดิบ

รวมทั้ง ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่าง Sansiri Backyard สร้างประโยชน์จากพื้นที่ว่างของคอนโดมิเนียมให้กลายเป็นฟาร์มผักปลอดสารที่บ่มเพาะให้คนเมืองมีโอกาสสัมผัสกับวิถีการใช้ชีวิตสุขภาพดีทั้งกายใจและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับมี Chul Farm at Sansiri Backyard ที่ซอยสุขุมวิท 77 เป็นสวนเกษตรออร์แกนิกตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพสำหรับคนเมือง

“สำหรับ “ไร่กำนันจุล” ถือเป็นธุรกิจภาคการเกษตรที่ผลิตสินค้าคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเป็นผู้ส่งมอบคุณค่าจากเกษตรกรไปสู่ลูกค้าหรือผู้บริโภคด้วยความเอาใจใส่ ซึ่งในอดีตจากที่มีรูปแบบเป็นร้านขายของฝาก แต่ขณะนี้เราได้มุ่งจับกลุ่มตลาดที่เป็นคนเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาร้านขายปลีกไปยังแหล่งที่มีคนพลุกพล่านทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อทำให้คนเมืองได้รับสินค้าเกษตรจากเกษตรกรตัวจริงอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น”

ธุรกิจที่ “กำนันจุล คุ้นวงศ์” ได้ริเริ่มและก่อตั้งขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน ได้สร้างคุณูปการต่อภาคการเกษตรไทย ทั้งยังก่อให้เกิดผลผลิตมากมายในชุมชนใกล้เคียง เมื่อมาถึงยุคของทายาทธุรกิจรุ่นที่ 3 อย่าง “คุณจงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์” ยังได้พัฒนามาสู่การสร้างเครือข่ายขยายไปสู่เกษตรกรในวงกว้างด้วยระบบ Contract Farming ช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้คนในประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นการต่อยอดพันธกิจและนำธุรกิจครอบครัวให้ประสบความสำเร็จพร้อมกับเติบโตร่วมกันกับภาคเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

รู้จัก “กลุ่มจุลไหมไทย” เพิ่มเติมได้ที่ :

https://www.chulthaisilk.com/aboutus

https://www.kamnanchul.com/

________________________________________

Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ

สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิกหรือสายด่วน 1333