เครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟแบบพกพา

ปัจจุบันกาแฟที่ปลูกในประเทศไทยจะมีอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ คือ พันธุ์อะราบิก้า ปลูกมากในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก และแพร่ อีกหนึ่งสายพันธุ์ คือ พันธุ์โรบัสต้า ปลูกมากในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดชุมพร ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2564 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟรวมทั้งประเทศประมาณ 268,211 ไร่ ผลผลิต 21,773 ตัน (เมล็ดกาแฟ)

 

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า ที่จังหวัดชุมพร
แปลงกาแฟโรบัสต้า ในพื้นที่ภาคใต้

 

ลักษณะพื้นที่การปลูกกาแฟในประเทศไทย

กาแฟอะราบิก้าส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกใต้ร่มเงาไม้ยืนต้นบนพื้นที่สูงที่มีอากาศหนาวเย็น ระยะปลูกทั่วไป 1.50×1.50, 1.50×2.00 และ 2.00×2.00 เมตร ส่วนกาแฟโรบัสต้า การปลูกของเกษตรกรจะมีทั้งการปลูกแบบเชิงเดี่ยวและปลูกแซมร่วมกับพืชอื่น ระยะปลูกทั่วไป 2.50×3.00, 3.00×3.00, 2.50×3.50, 3.50×3.50 และ 3.00×4.00 เมตร และต้นกาแฟจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้จะมีอายุตั้งแต่ 2-3 ปีขึ้นไป

กิ่งของกาแฟ เป็นกิ่งที่แตกออกมาจากลำต้น ผลจะติดตามข้อ โดยข้อที่ให้ผลแล้วจะไม่ให้ผลซ้ำอีก ต้นกาแฟที่มีสภาพสมบูรณ์ดีกิ่งนอนแต่ละกิ่งจะให้ผลปีละ 6-10 ข้อ โดยเริ่มจากโคนกิ่งไปจนถึงปลายกิ่ง

ผลกาแฟมีลักษณะกลมเหมือนรูปไข่ ขนาดผลกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.3-1.6 เซนติเมตร สีของผลกาแฟสุกจะเป็นสีแดงหรือสีเหลืองขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ถ้าผลยังดิบอยู่จะเป็นสีเขียว

ลักษณะทรงพุ่มของกาแฟมีขนาดตั้งแต่ 0.70-1.70 เมตร ความสูงเฉลี่ย 0.80-2.50 เมตร ขึ้นอยู่กับอายุของต้นกาแฟและการตัดแต่งกิ่ง

ผลกาแฟหลังจากเก็บเกี่ยวด้วยเครื่อง
การเก็บเกี่ยวกาแฟอะราบิก้าทางภาคเหนือ จะใช้ตะกร้าพลาสติกหรือตะกร้าไม้ไผ่สานแขวนคล้องคอรองรับผลกาแฟขณะเก็บเกี่ยว

 

การเก็บเกี่ยวผลกาแฟของเกษตรกร

คุณมานพ รักญาติ วิศวกรการเกษตร ศูนย์วิจัยเกษตรวิศวกรรมเชียงใหม่ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ปลูกกันมากในพื้นที่ภาคใต้ วิธีการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรจะใช้ที่รองรับผลกาแฟทำจากตาข่ายไนลอนขนาด 1.20×1.50×0.50 เมตร (กว้างxยาวxสูง) รองรับผลกาแฟขณะทำการเก็บเกี่ยว ส่วนการเก็บเกี่ยวกาแฟพันธุ์อะราบิก้า จะใช้ตะกร้าพลาสติก ขนาด 35x45x12 เซนติเมตร หรือบางพื้นที่จะมีการใช้ตะกร้าไผ่สานขนาดใกล้เคียงกันคล้องคอไว้ขณะทำการเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวผลกาแฟในประเทศไทย ปัจจุบันใช้แรงงานคนเก็บเป็นหลักทำให้ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวมักจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแต่ละสวนมีความต้องการแรงงานพร้อมๆ กัน โดยการเก็บผลกาแฟด้วยแรงงานจะมีต้นทุนค่าเก็บประมาณ 5-8 บาทต่อกิโลกรัมผลสด ขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงและยังไม่มีเครื่องมือเครื่องจักรมาช่วยในการเก็บเกี่ยว ทางผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาวิจัยเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟเพื่อนำมาใช้เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมซึ่งจะเป็นทางหนึ่งในการช่วยลดต้นทุนการเก็บเกี่ยวผลกาแฟในประเทศ และแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลกาแฟได้

 

 

ริ้วสีเหลืองสำหรับป้องกันผลกาแฟกระเด็นออกจากที่รองรับ ขณะทำการเก็บเกี่ยว

การออกแบบและสร้างเครื่องมือเก็บเกี่ยว

คุณมานพ บอกว่า ต้นแบบเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟแบบพกพา ประกอบด้วย ก้านรูดผลกาแฟ 2 ก้าน ยาว 10 เซนติเมตร ด้านข้างก้านติดเส้นลวดสปริง 2 เส้น สำหรับรูดผลกาแฟออกจากต้น ก้านรูดผลกาแฟทำงานที่ความเร็วเชิงเส้น 4.18 เมตรต่อวินาที ถ่ายทอดกำลังด้วยเฟือง ต้นกำลังเป็นมอเตอร์กระแสตรง 12 โวลต์ 6 วัตต์ ใช้แบตเตอรี่ชนิดแห้งขนาดเล็ก 12 โวลต์ ให้กำลังไฟฟ้า พร้อมสายสะพาย โดยรอบตัวเครื่องติดริ้วพลาสติกเพื่อป้องกันผลกาแฟสดกระเด็นออกจากที่รองรับขณะทำการเก็บเกี่ยว

กาแฟพันธุ์อะราบิก้าปลูกมากในภาคเหนือ จะปลูกใต้ร่มเงาไม้ยืนต้น
กิ่งกาแฟแตกออกมาจากลำต้น ผลกาแฟจะติดตามข้อจะให้ผลปีละ 6-10 ข้อ

ส่วนการใช้งานเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟในการเก็บเกี่ยวผลกาแฟทั้งพันธุ์โรบัสต้าและพันธุ์อะราบิก้า ใช้ตาข่ายไนลอนขนาด 1.20×1.50×0.50 เมตร รองรับผลกาแฟขณะเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวผลกาแฟในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่อง คุณมานพ บอกว่า ผลการทดสอบการใช้งานเครื่องมือในการเก็บเกี่ยวผลกาแฟพบว่า การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องมีความรวดเร็วมากกว่าการใช้คนเก็บถึง 2 เท่า

คุณมานพ กล่าวว่า จากการศึกษาผลกระทบของการใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟแบบพกพาที่พัฒนาขึ้นพบว่า กิ่งผลกาแฟที่เก็บด้วยเครื่องไม่ได้รับความเสียหายและยังมีขั้วผลยังติดอยู่ที่ก้านกิ่งผล ส่วนใบที่ติดกิ่งผลสุกบางส่วนจะร่วงหล่นปนกับผลกาแฟที่เก็บเกี่ยวได้ จากการเก็บข้อมูลการติดผลผลิตของกาแฟที่เก็บเกี่ยวด้วยเครื่องในฤดูกาลถัดไปพบว่า ต้นกาแฟที่เก็บเกี่ยวด้วยเครื่องแตกใบและออกผลเป็นปกติ

การเก็บเกี่ยวผลกาแฟโดยใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยว
กาแฟที่ออกมาใหม่หลังจากเก็บเกี่ยว

“ถ้าเกษตรกรจะนำเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟแบบพกพามาใช้งาน ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ เก็บเกี่ยวในช่วงที่ผลกาแฟสุกแก่มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของต้นหรือผลกาแฟสุกแก่ทั้งต้น จะทำให้เก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการเก็บเกี่ยวผลกาแฟของเกษตรกรชาวสวนกาแฟและช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลกาแฟได้”

ผลกาแฟที่เก็บเกี่ยวด้วยเครื่อง
การเก็บเกี่ยวผลกาแฟอะราบิก้าในพื้นที่ภาคเหนือ จะใช้ตะกร้าพลาสติกขนาด 35x45x12 เซนติเมตร หรือบางพื้นที่จะมีการใช้ตะกร้าไผ่สานคล้องคอไว้รองรับผลกาแฟขณะทำการเก็บเกี่ยว
ชิ้นส่วนภายในห้องเกียร์ส่งต่อกำลังเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟ

ชาวสวนกาแฟสนใจติดต่อสอบถามและขอต้นแบบเครื่องมือเก็บเกี่ยวผลกาแฟแบบพกพาได้ที่ ศูนย์วิจัยเกษตรวิศวกรรมเชียงใหม่ เลขที่ 235 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100 โทร. 087-786-3862 โทรสาร 053-114-119 และปัจจุบันมีบริษัทเอกชนรับต้นแบบนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์เพื่อให้กระจายไปสู่เกษตรกรชาวสวนกาแฟแล้ว โดยมีราคาเครื่องละประมาณ 4,900 บาท


สำหรับแฟนๆ นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน หากต้องการนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้านรายปักษ์ ส่งตรงถึงบ้าน รวดเร็วทันใจอ่านได้ในทุกๆ 15 วัน สามารถสมัครสมาชิกได้ที่ คลิกลิ้ง https://shorturl.asia/0zJwQ 📲- Line: @matichonbook หรือ สำนักพิมพ์มติชน เลขที่ 12 ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ติดต่อฝ่ายขาย 02-589-0020 ต่อ 3354