นักวิจัย วช. สำรวจแนวโน้มน้ำท่วม – การบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ ตุลาคมนี้

วันนี้ (11 ตุลาคม 2564) นักวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการวิจัยเข็มมุ่งการบริหารจัดการแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมายด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ ระยะที่ 2 โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากพายุเตี้ยนหมู่ ในเดือนตุลาคมนี้ เผยสถานการณ์น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาแนวโน้มดีขึ้น แต่ภาคกลางตอนล่าง และตะวันออกมีโอกาสรับอิทธิพลน้ำไหลหลากจากตอนบนสูงขึ้น ปริมาณน้ำไหลเข้าทุกเขื่อนแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ยังคงระบายน้ำขั้นต่ำ ลดผลกระทบ ย้ำติดตาม อิทธิพลพายุและหย่อมความกดอากาศต่ำแถบมหาสมุทรแปซิฟิก จากกรมอุตุฯ คาดพาดผ่านบางภูมิภาคของไทยเร็วๆ นี้

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทยยังคงอยู่ในขั้นวิกฤต หน่วยงานหลายภาคส่วนยังคง ระดมสรรพกำลังเร่งแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำ เพื่อบรรเทาความเสียหาย หลังพายุเตี้ยนหมู่ (Dianmu) พัดพาดผ่านเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 ทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง และเกิดวิกฤติน้ำท่วมตามมาในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่

รศ.ดร. อารียา ฤทธิมา ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยภายใต้กิจกรรม CORUN โครงการวิจัยเข็มมุ่ง แผนงานการบริหารจัดการน้ำระยะที่ 2 ได้เปรียบเทียบพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในเขตพื้นที่ชลประทานของโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ โดยอาศัยข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม COSMO–SkyMed–4 (GISTDA) ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 2 และ 8 ตุลาคม 2564) พบว่า พื้นที่ในเขตชลประทานที่ประสบภัยน้ำท่วมคิดเป็น 629,184 ไร่ ซึ่งลดลงจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (942,694 ไร่) นอกจากนี้ พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในบริเวณทางภาคเหนือ และภาคกลางตอนบนของประเทศมีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ดี แนวโน้มพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมยังคงเพิ่มสูงขึ้นจากอิทธิพลของน้ำไหลหลากจากทางตอนบนของประเทศลงมาในเขตภาคกลางตอนล่าง และบริเวณภาคตะวันอ อกของประเทศ รวมทั้งกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในเขตพื้นที่โครงการชลประทานอยู่ในพื้นที่ 4 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเจ้าเจ็ดบางยี่หน โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผักไห่ และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโคกกะเทียม ซึ่งส่วนใหญ่รับน้ำหลากจากพื้นที่ทางตอนบน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำรายวัน (Reservoir Inflow) ของเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล (BB) เขื่อนสิริกิติ์ (SK) เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน (KNB) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (PS) และเขื่อนทับเสลา (TS) พบว่า อิทธิพลของพายุเตี้ยนหมู่ ได้ส่งผลต่อปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพลสูงสุดถึง 187.34 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สูงสุดถึง 209.29 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน

อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำไหลเข้าของทุกเขื่อนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน เป็นต้นมา เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลการพยากรณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำล่วงหน้าโดยอาศัยเทคนิคการเรียนรู้แบบเครื่อง (Machine Learning) และผลการพยากรณ์ฝนรายสองสัปดาห์ล่วงหน้าด้วยแบบจำลอง WRF–ROMS (CFSV2) บริเวณพื้นที่เหนือเขื่อนในเดือนตุลาคมของคณะนักวิจัย

นอกจากนี้ เมื่อทำการวิเคราะห์แนวทางการบริหารเขื่อนในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลปริมาณการระบายน้ำรายวัน (Reservoir Outflow) พบว่า ทุกเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ยังคงกำหนดการระบายน้ำขั้นต่ำ เพื่อลดผลกระทบทางด้านท้ายน้ำ ยกเว้นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนทับเสลาที่มีการปรับเพิ่มปริมาณการระบายน้ำจากสถานะปริมาตรน้ำเก็บกักที่เต็มความจุหลังเกิดพายุเตี้ยนหมู่ โดยปริมาณการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สูงสุดถึง 104.28 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม และได้มีการปรับลดปริมาณการระบายน้ำลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับแนวโน้มการระบายน้ำของเขื่อนทดน้ำเจ้าพระยาที่มีการปรับลดปริมาณการระบายน้ำลงเหลือ 2,577 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา

แม้สถานการณ์น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดว่าสถานการณ์น้ำในประเทศไทยช่วงปลายฤดูฝนปี 2564 นี้จะเปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์นี้อย่างไร จากอิทธิพลของพายุและหย่อมความกดอากาศต่ำในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งทางกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะเคลื่อนตัวพาดผ่านบางภูมิภาคของประเทศไทยในเวลาอันใกล้นี้