มะม่วง “อาร์ทูอีทู” ราคาดี และยังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในและต่างประเทศ

จริงอยู่การปลูกมะม่วงของชาวสวนมะม่วงไทยในเชิงพาณิชย์ปัจจุบันนี้ แทบทั้งหมดจะปลูกพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง เนื่องจากผลิตเพื่อการส่งออกเกือบทั้งหมด พื้นที่ผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก หลักๆ จะอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์, อุดรธานี, พิจิตร, สระแก้ว, สุพรรณบุรี, เชียงใหม่ ฯลฯ

เช่นเดียวกันกับที่ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โทร. (081) 886-7398, (081) 901-3760 ก็ปลูกมะม่วงไทยหลายสายพันธุ์โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองที่ปลูกเป็นจำนวนมาก สุดท้ายได้ตัดสินใจเปลี่ยนยอดมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงราคามะม่วงน้ำดอกไม้ที่ราคาตกต่ำในหลายปีที่ผ่านมา เพื่อผลิตในเชิงการค้า สร้างปริมาณสินค้าที่มากพอ เพราะมีพ่อค้ามารับซื้อเพื่อการส่งออกทั้งหมด และได้ราคาดีไม่แพ้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง

อีกทั้งมีราคาดีตลอดฤดูกาล แม้จะเป็นช่วงที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากๆ ซึ่งมะม่วงอาร์ทูอีทู ก็จำหน่ายได้กิโลกรัมละประมาณ 30-80 บาท (ซึ่งราคาจะปรับตัวขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่ในภาพรวมราคาก็ถือว่าดีมากพอสมควร)

การห่อผลนอกจากจะทำให้ผิวมะม่วงสีเหลืองสวย ยังทำให้น้ำหนักผลเพิ่มขึ้นอีกด้วย

โดยราคาซื้อขายออกจากสวนคุณลี ในปี 2564 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35-45 บาท ซึ่งเป็นมะม่วงอาร์ทูอีทูแบบห่อผลด้วยถุงคาร์บอน (ถุงห่อชุนฟง) เพื่อให้ผิวผลมะม่วงอาร์ทูอีทูมีสีเหลืองสวยเหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง โดยผลผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูจะห่อหรือไม่ห่อผลนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ส่งออกว่าจะส่งไปขายที่ประเทศไหน ซึ่งเป็นไปได้ชาวสวนควรจะมีการพูดคุยกับผู้ส่งออกไว้ก่อนล่วงหน้า

จากที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร ปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทูมาประมาณ 15 ปี พบว่า ราคามะม่วงอาร์ทูอีทูนั้น ราคาซื้อขายค่อนข้างดีในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบราคาขายกับมะม่วงสายพันธุ์อื่น

ลักษณะของผล มะม่วงอาร์ทูอีทู

รูปทรงผลมะม่วงอาร์ทูอีทู มีลักษณะทรงกลมคล้ายรูปหัวใจ มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 500 กรัม ถึง 1,000 กรัม (ขึ้นอยู่กับการไว้ผลและการบำรุง) ความยาวของผล เฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร และความกว้างของผล เฉลี่ย 7-10 เซนติเมตร สีเนื้อเมื่อสุกมีสีเหลืองสด ลักษณะผลของเนื้อมีเสี้ยนน้อย เนื้อแข็ง รสชาติหวานหอม ทานอร่อย และไม่มีกลิ่นขี้ไต้

มะม่วงอาร์ทูอีทูสุก รสชาติหวาน มีเนื้อที่หนามาก

ลักษณะของต้นมะม่วงอาร์ทูอีทู

อาร์ทูอีทู เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงปานกลางถึงสูงมาก ต้องควบคุมทรงพุ่มทุกปีให้มีความเตี้ยอย่างเหมาะสม หลังจากการเพาะปลูกต้นมะม่วงอาร์ทูอีทูจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป แต่จะปล่อยให้ติดผลจำนวนมากในปีที่ 4 เป็นต้นไป เนื่องจากทรงพุ่มจะใหญ่สมบูรณ์แล้ว

ลักษณะของดอกมะม่วงอาร์ทูอีทูมีความยาวของช่อดอก 20-50 เซนติเมตร ความกว้างของช่อดอก 10-20 เซนติเมตร ความหนาแน่นของขนมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย สีของดอกมีสีแดงด้านๆ และมีเปอร์เซ็นต์ของดอกสมบูรณ์เพศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการติดผลได้ง่ายกว่ามะม่วงพันธุ์อื่น

วัดความหวานอาร์ทูอีทู ได้ประมาณ 15-16 บริกซ์

มะม่วง “อาร์ทูอีทู” (R2E2) เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ เราสามารถปลูกอาร์ทูอีทู ระยะปลูกที่เหมาะสม คือ 6×8 เมตร (ระยะระหว่างต้น 6 เมตร และระยะระหว่างแถว 8 เมตร) ปลูกได้ประมาณ 33 ต้น ต่อ 1 ไร่

วิธีการปลูก

ในการปลูกนั้นเมื่อขุดหลุมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะกลบดินที่ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก ให้พูนสูงกว่าระดับดินเดิม 10 เซนติเมตร นำกิ่งพันธุ์มะม่วงมาปลูก โดยตรวจสอบว่ากิ่งพันธุ์นั้นมีรากขดกันเป็นก้อน ที่เรียกว่า รากขัดสมาธิ หรือไม่ ถ้ามีต้องตัดออกก่อน เพราะจะทำให้ระบบรากไม่แผ่กระจายออก ทำให้ต้นแคระแกร็น

จากนั้นเจาะหลุม และนำมะม่วงต้นกล้าลงปลูก โดยให้รอยแผลของกิ่งทาบอยู่เหนือดิน ใช้ไม้ไผ่ปัก แล้วใช้เชือกมัดยึดกับลำต้น เพื่อกันลมโยก ถ้าแสงแดดจัดอาจพรางแสงด้วยวัสดุต่างๆ เช่น ทางมะพร้าว โดยพรางแสงแดดทางทิศตะวันตก เพราะในช่วงบ่ายที่อุณหภูมิของวันจะสูงที่สุด

มะม่วงอาร์ทูอีทูที่ไม่ห่อผล เมื่อโดนแดดอย่างต่อเนื่องผิวก็จะมีสีแดง

สำหรับผ้าพลาสติกพันรอยทาบควรนำออกหลังจากการปลูกไปแล้ว 2-3 เดือน เพื่อป้องกันรอยทาบจะแยกจากกัน เมื่อปลูกเสร็จแล้วใช้มือกลบดินบริเวณโคนกิ่งให้แน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่ม เพื่อให้ดินจับแน่นกับราก

ปกติแล้วการปลูกมะม่วงจะทำในฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศชุ่มชื้น แต่ถ้าหากหลังจากปลูกไปแล้วฝนไม่ตก จำเป็นจะต้องรดน้ำทุก 2-3 วัน เมื่อมะม่วงตั้งตัวได้ก็สามารถขยายระยะการให้น้ำเป็น 3-5 วัน ต่อครั้ง และ 7-10 วัน ต่อครั้ง ตามลำดับ โดยสังเกตต้นมะม่วงว่ามีอาการเหี่ยวเฉาหรือดินแห้งหรือไม่

และเมื่อผ่านพ้นปีแรกไปแล้ว อาจจะให้น้ำทุก 15-20 วัน เพื่อไม่ให้ต้นมะม่วงชะงักการเจริญเติบโต ซึ่งปกติแล้วในสภาพพื้นที่ยกร่องจะมีปัญหาน้อยกว่าที่ดอน เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินสูง ในการตัดแต่งกิ่งและจัดทรงพุ่มมะม่วงอาร์ทูอีทู

มะม่วงอาร์ทูอีทูเป็นพันธุ์มะม่วงที่โตเร็วมากในช่วง 2-3 ปีแรก ถ้าต้นไม่ได้รับการแต่งกิ่ง ต้นจะสูงมาก และให้ผลน้อยลง ในช่วง 2 ปีแรก ต้นมะม่วงต้องได้รับการแต่งกิ่ง 2-3 ครั้ง ต่อปี เพื่อให้กิ่งก้านอยู่ในรูปทรงที่ดี เพื่อจะรองรับน้ำหนักของผลผลิตในช่วงปีต่อๆ ไป

เนื่องจากอาร์ทูอีทูมีการเจริญเติบโตในแนวสูง การแต่งกิ่งเพื่อลดความสูงจึงมีความจำเป็นมากในช่วงปีแรกๆ และการแต่งกิ่งก็ยังต้องทำทุกปี หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดจากต้น

สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร เป็นสวนหนึ่งที่ปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทูเพื่อส่งออก

“สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ปลูกมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์เป็นจำนวนมาก เช่น มะม่วงอาร์ทูอีทู, มะม่วงไต้หวัน T1, มะม่วงไต้หวัน T2, มะม่วงไข่พระอาทิตย์ญี่ปุ่น, มะม่วงงาช้างแดง, แก้วขมิ้น ฯลฯ

ทางสวนคุณลี จึงมีข้อแนะนำในการดูแลรักษามะม่วงให้ได้คุณภาพ หรือนำไปเป็นแนวทางใช้ในปีต่อๆ ไป เช่น ระยะเดือยไก่ ล้างโรคแมลง เร่งความสมบูรณ์ หลังจากที่เราทำการเปิดตาดอกจนดอกเป็นระยะเดือยไก่ หรือมีความยาวประมาณครึ่งนิ้วแล้ว เกษตรกรจะต้องเร่งสร้างความสมบูรณ์ของดอกให้เต็มที่ เพราะช่อดอกที่มีความสมบูรณ์ ปริมาณดอกสมบูรณ์เพศจะสูง การติดผลจะง่าย

ในช่วงนี้เกษตรกรส่วนใหญ่จะใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 10-52-17 อัตรา 50 กรัม ฉีดพ่นร่วมกับฮอร์โมน “โปรดั๊กทีฟ” อัตรา 10 ซีซี (ต่อน้ำ 20 ลิตร) ปุ๋ย 10-52-17 และฮอร์โมน “โปรดั๊กทีฟ” จะช่วยเร่งความสมบูรณ์ของช่อดอก ทำให้ก้านดอกอวบใหญ่ มีสีแดงเข้ม ปริมาณดอกสมบูรณ์เพศสูงมาก

ระยะเดือยไก่ นอกจากจะฉีดปุ๋ยและฮอร์โมนเพื่อสร้างความสมบูรณ์แล้ว เกษตรกรจะต้องทำการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดโรคแมลงไปในคราวเดียวกัน สารป้องกันกำจัดแมลงที่นิยมใช้ คือ สารเมทโทมิล เพราะในระยะนี้ศัตรูที่เกษตรกรจะพบมากที่สุดก็คือ หนอนต่างๆ อัตราที่ใช้ให้ดูตามคำแนะนำของฉลาก

ส่วนด้านโรคระยะนี้จะต้องล้างโรคให้หมด แนะนำให้ใช้สารในกลุ่มเบนโนมิล อัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม จะช่วยป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี

ในระยะนี้ถ้าพื้นที่ปลูกมะม่วงของท่านมีน้ำรด สามารถให้น้ำได้ การให้น้ำจะช่วยให้ดอกมะม่วงมีความสมบูรณ์การติดผลดี และช่อดอกโรยช้า

ใช้ตะกร้อเก็บผลลงจากต้นด้วยความระมัดระวัง

ระยะก้างปลา ก่อนดอกบาน ตามปกติแล้วมะม่วงจะมีระยะเวลาตั้งแต่แทงช่อดอก จนถึงดอกเริ่มบาน ประมาณ 20 วัน (ระยะเวลาอาจเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพอากาศ) การดูแลในช่วงก่อนดอกบาน หรือดอกเริ่มบานจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ข้อแนะนำในระยะนี้ยังสามารถฉีดพ่นสารเคมีได้ตามปกติ

เกษตรกรจะใช้ฮอร์โมน “โปรดั๊กทีฟ” อัตรา 10 ซีซี ผสมกับสารกลุ่มแคลเซี่ยมโบรอน เช่น โกรแคล อัตรา 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฮอร์โมน “โปรดั๊กทีฟ” และสารในกลุ่มแคลเซี่ยม โบรอนจะช่วยเรื่องความสมบูรณ์ของดอก ทำให้ดอกติดผลง่าย ลดการหลุดร่วงของผล และมีผลติดดก

ศัตรูที่ต้องระวังในระยะนี้ คือ เพลี้ยไฟ และ เพลี้ยจักจั่น ซึ่งศัตรูทั้ง 2 ชนิดนี้ จะเข้าทำลายระยะดอกเริ่มบาน จนถึงระยะติดผลอ่อน สร้างความเสียหายให้แก่ช่อมะม่วงอย่างมาก แนะนำให้ใช้สารโปรวาโด อัตรา 3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม จะช่วยป้องกันกำจัดแมลงดังกล่าวได้ดี

แรงงานช่วยกันแกะผลมะม่วงอย่างระวัง ไม่ให้ขั้วผลหัก ทำให้ยางไหลเลอะ ส่งผลให้ยางกัดผิวเสีย

หากพบปัญหาการระบาดของเพลี้ยไฟที่รุนแรง แนะนำให้ใช้สารเดซิส อัตรา 10 กรัม ผสมกับโปรวาโด 3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โรคที่สำคัญในช่วงนี้จะต้องป้องกันโรคแอนแทรกโนสให้ดี เพราะจะทำให้ช่อมะม่วงเกิดความเสียหายได้สูงมาก แนะนำให้ใช้สาร “ฟลิ้นท์+แอนทราโคล” จากประสบการณ์ชาวสวน พบว่า สารดังกล่าวสามารถป้องกันโรคแอนแทรกโนสได้ค่อนข้างดีมาก โดยใช้ ฟลิ้นท์ อัตรา 5 กรัม ผสมกับแอนทราโคล อัตรา 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง

ระยะดอกบานต้องดูแลเป็นพิเศษ ตามปกติถ้าดอกมะม่วงบานจะต้องห้ามฉีดพ่นสารเคมีโดยเด็ดขาด เพราะการฉีดพ่นสารเคมีจะทำให้ดอกมะม่วงได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นพิษของสารเคมียังไปทำลายแมลงที่มาช่วยผสมเกสรตามธรรมชาติ ทำให้การติดผลต่ำหรือไม่ติดผลเลย

แต่จากประสบการณ์จริงของชาวสวนพบว่า ในช่วงดอกบานจะมีศัตรูเข้าทำลายจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งศัตรูต่างๆ ที่เข้าทำลายระยะนี้ ได้แก่ เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กที่ทำลายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงของช่อดอก ทำให้ดอกแห้ง ดอกร่วงไม่ติดผล จะระบาดหนักในช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้ง

เกษตรกรมักพบว่า เมื่อเพลี้ยไฟเข้าทำลาย ดอกมะม่วงจะแห้งอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านเรียก “ดอกวูบ” เมื่อเคาะดูจะพบตัวเพลี้ยไฟเป็นจำนวนมาก การป้องกัน ต้องหมั่นสังเกตช่อดอกมะม่วงบ่อยๆ โดยการเดินเคาะช่อดอกลงบนกระดาษสีขาว ถ้าพบเพลี้ยไฟปริมาณมากกว่า 5-10 ตัว ต่อช่อดอก ต้องฉีดพ่นสารเคมีทันที

สารเคมีที่แนะนำในช่วงดอกบานจะต้องเป็นกลุ่มยาเย็น ที่ไม่เป็นพิษกับดอก เช่น สารโปรวาโด ใช้อัตรา 3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร เคล็ดลับการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ แนะนำให้ฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นที่ลมสงบ เพราะเพลี้ยไฟจะออกหาอาหารทำให้ถูกสารเคมีได้ง่าย และช่วงเย็นอากาศไม่ร้อน ดอกมะม่วงจะไม่ค่อยเสียหาย

โรคแอนแทรกโนส (ช่อดำ) มักระบาดในช่วงที่มีฝนตกสลับกับอากาศร้อน โดยจะทำให้ช่อดอกเน่าดำและหลุดร่วง หากสังเกตจะพบจุดดำเล็กๆ บริเวณก้านช่อดอก ช่อดอกจะเน่าดำ ลุกลามจากยอดไปยังโคนช่อดอก ทำให้ดอกมะม่วงไม่ไปติดผล

เช็ดผลทำความสะอาดผิว

เคล็ดลับการเอาชนะโรคแอนแทรกโนส

กรณีฝนไม่ตกหนักอาจใช้สารเบนโนมิล อัตรา 6-12 กรัม ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 7-10 วัน โดยอาจฉีดสลับกับสารแคปแทน (เมอร์แพน) อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร และให้เกษตรกรเจ้าของสวนหมั่นสังเกตช่อดอกบ่อย

หากพบว่า สารกำจัดโรคที่ฉีดพ่นไปเอาชนะโรคไม่ได้ (โรคลุกลามต่อเนื่อง) ให้เปลี่ยนสารเคมีทันที สารเคมีที่พิชิตแอนแทรกโนสได้แน่นอน ในปัจจุบันเกษตรกรชาวสวนส่วนใหญ่ แนะนำให้ใช้สารฟลิ้นท์+แอนทราโคล เพราะสามารถป้องกันโรคแอนแทรกโนสได้แน่นอน แม้ขณะฝนตกติดต่อกันหลายวัน

ที่สำคัญเป็นสารที่ฉีดพ่นแล้วไม่เป็นอันตรายต่อดอก ดอกมะม่วงที่ฉีดพ่นด้วยสารฟลิ้นท์ + แอนทราโคล จะสดและใสกว่าฉีดพ่นด้วยสารกลุ่มอื่น ที่สำคัญไม่พบปัญหาดอกแห้ง หรือดอกไหม้เมื่อฉีดพ่นในสภาพอากาศร้อน อัตราที่แนะนำคือ ใช้ฟลิ้นท์ 5 กรัม และ แอนทราโคล 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7-10 วัน ต่อครั้ง แต่หากช่วงนั้นมีฝนตกติดต่อกันทุกวัน ให้ลดระยะเวลาฉีดเหลือ 2-3 วัน ต่อครั้ง จะได้ผลดีที่สุด

เมื่อมะม่วงติดผลอ่อนล้างโรคแมลงทำผิวให้สวย เมื่อดอกมะม่วงเริ่มโรย เราจะสังเกตเห็นผลอ่อนของมะม่วงติดผลเล็กขนาดไข่ปลาถึงหัวไม้ขีด ช่วงนี้ต้องระวังเพลี้ยไฟกับโรคแอนแทรกโนสให้มาก

ระยะนี้เกษตรกรจะใช้สารเคมีที่ค่อนข้างแรง (แรงต่อแมลง แต่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค) เช่น ใช้สารคาร์โบซัลแฟน อัตรา 30-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นร่วมกับสารกำจัดโรคแอนแทรกโนส เช่น โพรคลอราช (เอ็นทรัส) หรือ เบนโนมิล (เมเจอร์เบน)

ในระยะดอกเริ่มโรยและติดผลอ่อน เกษตรกรต้องหมั่นดูแล เพราะหากเพลี้ยไฟหรือโรคแอนแทรกโนสเข้าทำลายผลอ่อน ผิวจะไม่สวย ขายไม่ได้ราคา

มีเคล็ดลับอีกข้อสำหรับป้องกันผลอ่อนร่วง และเร่งการเจริญเติบโตของผลอ่อน เกษตรกรจะใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 12-12-12 อัตรา 30-140 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นร่วมกับสารจิบเบอร์ริล (GA3) เช่น จิ๊บทรี หรือ จิ๊บแซด อัตรา 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้ง จะทำให้ผลโตเร็ว ลดการหลุดร่วงของผลได้มาก

ก่อนห่อทุกครั้งต้องฉีดพ่นล้างโรคแมลง ด้วยการพ่นสารเอ็นทรัส หรือฟลิ้นท์+แอนทราโคล เพื่อป้องกันกำจัดโรคแอนแทรกโนส และต้องพ่นสารมีโซแซม (หรือชื่อสามัญ ไทอะมีทอกแซม) อัตรา 3 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง เพราะหากไม่ฉีดพ่นสารกำจัดโรคแมลงตอนนี้ เมื่อเราห่อถุงไป โรคแมลงจะติดเข้าไปอยู่ในถุงห่อ และทำลายผลผลิตโดยที่เราไม่รู้ เพราะมองไม่เห็น

มะม่วงอาร์ทูอีทูที่รอการคัดแยกเกรด บรรจุลงลัง

อย่าง “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ที่ปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทู มากกว่า 10 ปีแล้ว กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต แนะนำว่า การใส่ปุ๋ยระยะติดผล เมื่อผลมะม่วงติดผลขนาดหัวไม้ขีดจนถึงอายุ 12 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่ผลมะม่วงมีการเจริญเติบโตของผลอย่างรวดเร็ว ถ้าติดผลดกและอาหารไม่เพียงพอ ผลจะเล็ก แคระแกร็น

ในระยะนี้ในแหล่งที่มีน้ำชลประทาน แนะนำให้ใส่ปุ๋ยทางดิน สูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1-2 กิโลกรัม แต่ในแหล่งที่ไม่มีน้ำให้ใช้ปุ๋ยทางใบ สูตร 21-21-21 ในอัตรา 2-3 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 5 ครั้ง

ระยะก่อนการเก็บเกี่ยว เป็นระยะที่เมล็ดของมะม่วงมีเปลือกหุ้มเมล็ดเริ่มแข็งขึ้น โดยทั่วไปเรียกว่า “เข้าไคล” อาจจะต้องเพิ่มคุณภาพผล ด้านความหนาเนื้อ ด้านความหวาน โดยใช้ปุ๋ยทางใบฉีดพ่น ซึ่งนิยมใช้ปุ๋ย เช่น 13-0-46 หรือปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) อัตรา 50 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1-2 ครั้งล่วงหน้า ก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มคุณภาพผลให้ดี