หนุ่มอุบล ปลูกมะละกอแขกนวล เป็นอาชีพเสริม ผลผลิตดก ตลาดมีความต้องการสูง สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

มะละกอแขกนวล เป็นสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์มาจากพันธุ์แขกดำ มีลักษณะเด่นคือ สีใบเขียวเข้ม ขนาดผลปานกลาง ผลมีลักษณะกลมยาวสีเขียวเข้ม น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อผล ผลสุกมีลักษณะเนื้อสีเหลืองเข้ม ให้รสหวานโดยมีความหวานประมาณ 13-14 องศาบริกซ์

ซึ่งมะละกอแขกนวล จัดว่าเป็นมะละกอที่เลื่องชื่อในวงการส้มตำมานาน เพราะเป็นมะละกอที่กรอบกว่าทุกสายพันธุ์ก็ว่าได้ โดยแม่ค้าส้มตำระดับมืออาชีพก็น่าจะรู้ในข้อดีในเรื่องนี้ไม่น้อย และที่สำคัญยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ตลาดมีความต้องการสูง เฉลี่ยต่อต้นแล้วผลผลิตที่ได้เท่ากับต้นละ 200-300 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อปี เลยทีเดียว

คุณทองดี กำลังงาม

คุณทองดี กำลังงาม เป็นอีกหนึ่งเกษตรกรที่เล็งเห็นลักษณะพิเศษของมะละกอสายพันธุ์นี้ จึงได้เลือกปลูกมะละกอแขกนวลในอำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวนมากถึง 38 ไร่ จึงนับว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเขามากว่า 20 ปี กันเลยทีเดียว  

 

เดิมมีอาชีพ ด้านการเกษตรอยู่แล้ว

คุณทองดี เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกเดิมทีทำอาชีพทางการเกษตร คือทำไร่ ทำนา ซึ่งการทำนาจะขายผลผลิตได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น จึงคิดว่าไม่สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับเขาได้มากพอ จึงได้คิดมองหาพืชชนิดใหม่ที่น่าจะสร้างรายได้ให้ตลอดทั้งปี หรือ 1 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้มากกว่า 1 ครั้ง

“ถ้าย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน พอคิดว่าไม่อยากทำไร่ทำนาแล้ว ผมก็เลยมองหาพืชสนิทอื่นมาปลูก ก็เลยเลือกเป็นมะละกอ เพราะมะละกอถ้าพูดกันตามตรง ถือว่ายังเป็นที่นิยมบริโภค โดยเฉพาะทางภาคอีสานจะนิยมส้มตำ ผมก็เลยเน้นปลูกมะละกอพันธุ์แขกนวล เป็นมะละกอที่มีรสชาติอร่อย เวลาที่นำมาทำส้มตำ และที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างติดลูกได้เร็ว และผลดกอีกด้วย” คุณทองดี เล่าถึงที่มา

ซึ่งการทำสวนมะละกอทั้งหมดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณทองดี บอกว่า ใช้เมล็ดพันธุ์ที่เกิดจากการคัดสายพันธุ์ภายในสวนเอง โดยดูจากต้นที่มีฟอร์มดีให้ผลผลิตมาก จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้นำมาปลูกสำหรับเป็นต้นพันธุ์ทดแทนต่อไป

พื้นที่ปลูก

เน้นปลูกในช่วงต้นฤดูฝน

การปลูกมะละกอไม่เหมาะที่จะหยอดเมล็ดลงแปลงโดยตรง เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาในขั้นแรกค่อนข้างมาก ก็จะทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามไปด้วย

เนื่องจากคุณทองดีมีเนื้อที่ปลูกมะละกอทั้งหมด 38 ไร่ จะเน้นแรงงานที่ทำกันเองภายในครอบครัว ถ้าจะให้การทำสวนมะละกอมีผลกำไรมากที่สุด จึงจำเป็นต้องจัดการให้มีรายจ่ายต่ำที่สุด หากมีการทำเรื่องระบบน้ำก็จะทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงเน้นการปลูกแบบอิงธรรมชาติ โดยจะเริ่มลงต้นกล้าในช่วงต้นฤดูฝนในเดือนมิถุนายน จึงจะมีน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของมะละกอ

ในขั้นตอนแรกจะนำเมล็ดมะละกอมาเพาะลงในถุงพลาสติกขนาด 5×8 นิ้ว โดยใช้ดินที่มีส่วนผสมของมูลไก่ หยอดเมล็ดลงในถุงเพาะประมาณ 4-5 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่มทุกเช้าและเย็น จากนั้นดูแลต้นกล้าให้มีอายุประมาณ 1 เดือนครึ่ง โดยจะเพาะให้ต้นมะละกอเจริญเติบโตทันกับฝนแรกที่จะตกลงมาในพื้นที่ปลูก

“พอฝนเริ่มตกเราก็จะเตรียมปลูกต้นกล้าที่เพาะไว้ได้เลย ช่วงนั้นดินก็จะนิ่มง่ายต่อการปลูก ขุดหลุมเสร็จก่อนจะปลูกก็จะใส่ปุ๋ยก้นหลุมบ้าง เป็นปุ๋ยเคมีสูตร 27-12-6 ซึ่งระยะห่างปลูกประมาณ 2×2 เมตร หรือประมาณ 400 ต้น ต่อไร่ พอมะละกอที่ปลูกลงดินเริ่มได้อายุประมาณ 2 เดือน จะเริ่มออกดอก ซึ่งภายในหลุมจะมี 4-5 ต้น ถ้ารู้สึกว่าต้นไหนไม่สมบูรณ์ตัดทิ้งได้เลย โดยเหลือไว้เพียง 1 ต้นที่คิดว่าสมบูรณ์ที่สุด และดูแลต้นที่เลือกไว้อีกประมาณ 2-3 เดือน มะละกอก็จะมีลูกที่ใหญ่ขึ้น สามารถเก็บผลผลิตได้” คุณทองดี บอกถึงวิธีการปลูก

การใส่ปุ๋ยให้กับมะละกอที่ออกผลแล้ว คุณทองดี บอกว่า จะใส่ปุ๋ยเคมีให้ทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง เป็นสูตร 13-3-21 และทุกครั้งที่เก็บผลผลิตออกจากสวนจะใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 เข้ามาช่วยเสริมด้วย

ซึ่งมะละกอที่ปลูกลงดินทั้งหมดจะมีอายุให้ผลผลิตได้ประมาณ 1 ปี ต้นทั้งหมดก็จะโทรมลง โดยสามารถเก็บผลผลิตได้เดือนละ 1 ครั้ง

เรื่องของโรคและแมลงที่เจอในช่วงที่ปลูกมะละกอ คุณทองดี บอกว่า จะเป็นเพลี้ยแป้ง ป้องกันด้วยการฉีดพ่นยาปราบศัตรูพืช ส่วนโรคไวรัสวงแหวน หากพบเจอการระบาดของไวรัสจะตัดต้นที่เป็นโรคไปเผาทำลายทิ้งทันที

 

มีพ่อค้าแม่ค้า มารับซื้อผลผลิตถึงสวน

จากประสบการณ์ของชีวิตที่ทำการเกษตรมาตลอด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการขายผลผลิต เพราะได้รู้จักกับพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นลูกค้าประจำกันอยู่แล้วก็จะมารับซื้อถึงสวนเลย และผลผลิตบางส่วนก็จะส่งขายให้กับลูกค้ารายย่อยที่อยู่ในชุมชน

แพ็กใส่ถุง ถุงละ 10 กิโลกรัม
คัดไซซ์ก่อนส่งขาย
(คนที่ 4 จากซ้าย) คุณสมพร วงศ์ประเสริฐ

“ราคาของมะละกอต้องบอกก่อนว่า มันสามารถขึ้นลงได้ตามกลไกของตลาด โดยราคาที่ขายได้สูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 12 บาท และบางช่วงราคาต่ำสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 1-3 บาทก็มี ซึ่งช่วงไหนที่มะละกอขาดมากก็จะได้ราคาดี นอกจากนี้ ผมยังทำเมล็ดพันธุ์ขายเองด้วย ให้กับคนที่สนใจอยากปลูกได้ซื้อไปปลูก อยู่ที่กิโลกรัมละ 10,000 บาท ราคาก็สามารถขึ้นลงได้เช่นกัน” คุณทองดี กล่าว

สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะปลูกมะละกอพันธุ์แขกนวล แต่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องของวิธีการมากนัก คุณทองดี บอกว่า ยินดีให้ข้อมูลในการปลูกมะละกอเบื้องต้น หรือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลทางวิชาการได้กับสำนักงานเกษตรอำเภอสิรินธร เพื่อให้มะละกอที่ปลูกมีผลผลิตที่ดีตรงตามความต้องการของตลาด

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณทองดี กำลังงาม หมายเลขโทรศัพท์ (098) 346-7499

ขอขอบพระคุณ คุณสมพร วงศ์ประเสริฐ เกษตรอำเภอสิรินธร พาลงพื้นที่