ชาวไร่มันสำปะหลัง เฮ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คิดค้นชุดตรวจ ‘Strip test’ ตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังอย่างรวดเร็ว รู้ผลใน 15 นาที

ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. (ถ่ายไว้ก่อนการระบาดของโรคโควิด-19)

‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบการแพร่ระบาดในพื้นที่เพาะปลูกในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างมันสำปะหลังมาปลูก ในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 80-100 เปอร์เซ็นต์

ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง

สวทช. ได้เปิดตัว ชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ Strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ ทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์ปลอดเชื้อต่อไป

ดร. ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า โรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคที่สำคัญและส่งผล กระทบต่อมันสำปะหลังซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะหากมีการนำต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่ติดโรคไปเพาะปลูก อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตมันสำปะหลังได้ถึง 80-100 เปอร์เซ็นต์ เทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงนับว่ามีบทบาทที่สำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการนำท่อนพันธุ์ติดเชื้อไปเพาะปลูกต่อ รวมถึงช่วยชะลอการแพร่กระจายของโรคใบด่างลงได้ โดยการตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้ในทุกขั้นตอนของการผลิตและเพาะปลูกมันสำปะหลัง เริ่มตั้งแต่การตรวจแปลงผลิตต้นพันธุ์สะอาดก่อนการเก็บเกี่ยว การตรวจในส่วนขยายพันธุ์ เช่น mini-stem cutting หรือ tissue culture นอกจากนี้ ยังใช้ในการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคหลังการเพาะปลูกเพื่อจัดการและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

“ก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยฯ ได้พัฒนาเทคนิคอิไลซ่า (ELISA) สำหรับตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลังที่พบในประเทศไทย โดยใช้น้ำยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ทางทีมวิจัยฯ ได้พัฒนาขึ้นเอง พบว่า เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ที่พัฒนาขึ้นมีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจอิไลซ่าที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาต่อตัวอย่างถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยเทคนิคอิไลซ่าจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างนำมาตรวจสอบภายในห้องปฏิบัติการและต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องอ่านผล ใช้เวลาในการตรวจสอบจนทราบผลประมาณ 1-2 วัน

ล่าสุด ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช.ได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็ว Strip test สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งมีหลักการทำงานเหมือนชุดตรวจ ATK ทราบผลได้ภายใน 15 นาที โดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือในการอ่านผล สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนามได้ โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ และมีความแม่นยำ ความจำเพาะเจาะจง ความไวเท่ากับชุดตรวจอิไลซ่าที่พัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีมาตรฐาน PCR พบว่า มีความแม่นยำร้อยละ 94 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 91”

โรคใบด่างมันสำปะหลัง

ดร.ชาญณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับชุดตรวจ Strip test ใช้งานง่าย เพียง 3 ขั้นตอน 1. นำใบพืชมาบดในบัพเฟอร์ที่เตรียมไว้ให้ 2. จุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืชที่บดได้ และ 3. อ่านผลจากแถบสีที่เกิดขึ้น หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง C และ T แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค

ทั้งนี้ ชุดตรวจแบบรวดเร็ว Strip test เป็นหนึ่งในผลงานวิจัยเด่นในงาน NAC2022 ซึ่งจะมีนิทรรศการออนไลน์ผลงานที่เกี่ยวกับ BCG Model มากกว่า 100 ผลงาน ทั้งด้านเกษตร-อาหาร การแพทย์และอื่นๆ ครบวงจรที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ และพัฒนาประเทศ

ผู้สนใจเข้าร่วมงาน NAC2022 ระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคมนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ www.nstda.or.th/nac หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-564-8000