“บ๊วย” ผลไม้ทำเงินสวนอิงดอย เชียงราย เก็บส่งโรงงาน-ขายออนไลน์ รายได้หลายแสนต่อปี

บ๊วย เป็นไม้ผลเมืองหนาวมีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน เป็นพืชตระกูลเดียวกับพลัม ลูกท้อ มีการปลูกในประเทศไทยมานานแล้ว พื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะปลูก ต้องมีอากาศเย็น และสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 700 เมตรขึ้นไป ใช้ระยะเวลาการปลูก 5-6 ปีให้ผลผลิต

คุณสายสุนีย์ แซ่เติ๋น หรือ คุณไหนอิง

คุณสายสุนีย์ แซ่เติ๋น หรือ คุณไหนอิง อยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่บ้านห้วยแม่เลี่ยม ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสร้างรายได้ให้ครอบครัว แก้ปัญหาพ่อค้ากดราคา ผลผลิตไม่เหลือทิ้งเสียหาย พลิกวิกฤตทำตลาดออนไลน์ฟันรายได้ต่อปีเป็นเงินไม่น้อย

คุณไหนอิง เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันประกอบอาชีพหลักเป็นพนักงานบริษัท อาชีพเสริมเป็นแม่ค้าออนไลน์12 ขายบ๊วยสดและผลไม้เมืองหนาวจากสวนของครอบครัว ที่พ่อแม่ทำมานานกว่า 40 ปี โดยที่สวนมีพืชหลักสร้างรายได้อยู่ 3 ชนิด ได้แก่ กาแฟ บ๊วย ลิ้นจี่ ส่วนพืชรอง ได้แก่ อะโวกาโด เชอร์รี่ บนพื้นที่ทั้งหมดกว่า 50 ไร่

ซึ่งในช่วงนี้ก็จะเป็นฤดูกาลของบ๊วย ที่ผลผลิตจะเริ่มออกให้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงปลายเมษายน จากนั้นพอหมดฤดูกาลของบ๊วยก็จะเป็นฤดูกาลของการเก็บเกี่ยวลิ้นจี่ต่อ จะทำแบบนี้หมุนเวียนกันทุกปี แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือเรื่องของการตลาด จากในสมัยที่พ่อกับแม่ทำจะเน้นขายให้กับพ่อค้าคนกลาง และมักจะโดนกดราคาอยู่เป็นประจำ หรือในบางครั้งผลผลิตเก็บไม่ทันขายเกิดความเสียหาย ตนเองจึงได้เข้ามาช่วยด้านการตลาดของที่สวน ประกอบกับกระแสนิยมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คนไทยหันมานิยมนำบ๊วยมาแปรรูปกันมากขึ้น อาทิ ทำเป็นน้ำบ๊วย, บ๊วยแช่อิ่ม, บ๊วยดอง, บ๊วยเค็ม หรือใช้ทำอาหาร เช่น น้ำจิ้มบ๊วย, ซอสบ๊วย นอกจากนี้ บ๊วยยังเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ขับพิษในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย แก้ร้อนในกระหายน้ำ ส่งผลมาถึงยอดขายดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ

บ๊วย พันธุ์สีเขียว เกรด AA

โดยสายพันธุ์บ๊วยตอนนี้มีอยู่ 2 สายพันธุ์หลักๆ ปลูกบนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ได้แก่ 1. บ๊วยสายพันธุ์​ยูมิ หรือที่เรียกว่า บ๊วยแก้มแดง มีลักษณะกลม ก้อนแหลม มีสีแดง ชมพู อยู่ส่วนหนึ่งของบ๊วย กลิ่นจะหอมกว่าบ๊วยเขียวหน่อยๆ​ 2. บ๊วยพันธุ์เขียว ลักษณะ​ลูกใหญ่ เนื้อเยอะ​ สุกแล้วมีกลิ่นหอม

บ๊วยสายพันธุ์ยูมิ หรือที่เรียกว่า บ๊วยแก้มแดง

สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูก จะต้องเป็นพื้นที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 700 เมตรขึ้นไป แต่ถ้าให้ดีหากพื้นที่ปลูกอยู่ในระดับความสูงเกิน 1,000 เมตร จะติดลูกได้ดีที่สุด และต้องเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น บ๊วยจะเจริญเติบโตได้ เหมาะปลูกในสภาพพื้นที่ร่วน ระบายน้ำได้ดี ซึ่งมีความเหมาะสมกับพื้นที่ของสวนเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่สวนของเราตั้งอยู่ที่ใกล้บริเวณดอยปางขอน ที่มีความสูงเหนือน้ำทะเลถึง 1,280 เมตร

“บ๊วย” ปลูกไม่ยาก เน้นธรรมชาติช่วยดูแล
ต้นทุนในการดูแลจัดการต่ำ เก็บเกี่ยวได้นาน

เจ้าของบอกว่า ด้วยสภาพพื้นที่ปลูกของสวนมีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ที่นี่จะไม่มีการเตรียมดินก่อนปลูก เมื่อต้นพันธุ์ที่เพาะไว้ได้อายุพร้อมปลูกก็ลงหลุมปลูกได้เลย โดยต้นพันธุ์ที่ย้ายลงหลุมปลูกจะมีอายุตั้งแต่ 1-3 ปี แล้วใช้วิธีการนำหญ้ามากลบให้เป็นปุ๋ยกับพืช หลังจากนี้รอเก็บผลผลิตอย่างเดียวไม่ต้องบำรุงรดน้ำใส่ปุ๋ยในช่วงแรก เน้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติช่วยดูแล แต่หากปลูกในพื้นที่อื่นสภาพอากาศไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ต้องรดให้ความชุ่มชื่นแก่พืชบ้าง

ผลผลิตพร้อมเก็บเกี่ยว

“ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างการปลูกบ๊วยกับการปลูกกาแฟ จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่กาแฟเมื่อลงต้นปลูกไปแล้ว เราก็ต้องมีการดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย แล้วก็พรวนดิน แต่ถ้าปลูกบ๊วยในสมัยก่อนที่พ่อแม่ปลูกไม่ต้องรดน้ำใส่ปุ๋ยเลย แต่มาตอนนี้ต้นบ๊วยที่พ่อแม่เราปลูกไว้มีอายุเยอะประมาณ 35 ปี ถ้าพูดถึงการดูแลในปัจจุบันก็ต้องมีการรดน้ำใส่ปุ๋ยบ้าง แต่ไม่มาก ใส่เพียงปุ๋ยคอก แต่ถ้าให้ตอบในช่วงแรกที่เริ่มปลูก คือไม่ต้องดูแล”

เมื่อต้นมีอายุมากขึ้นที่สวนถึงจะเริ่มใส่ปุ๋ยบำรุงบ้าง โดยปุ๋ยที่ใส่จะใส่ปุ๋ยคอกขี้วัวบำรุงอย่างเดียว ใส่ในปริมาณต้นละ 1 ถ้วยตวงต่อปี และในช่วงหน้าแล้งจะรดน้ำให้บ้าง

เรื่องของการปลูกบำรุงรดน้ำใส่ปุ๋ยจึงไม่มีอะไรที่น่าเป็นกังวล ซึ่งการปลูกบ๊วยสำคัญที่การดูแลในเรื่องของหญ้า ที่สวนจะมีการตัดหญ้าเดือนละ 2 ครั้ง การพรวนดิน และการตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ โดยเลือกตัดกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งไป เหลือแต่กิ่งที่สมบูรณ์ แล้วรอเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูถัดไป

แมลงวันทองศัตรูตัวร้าย

ศัตรูพืช ที่น่ากลัวที่สุดของบ๊วยคือ แมลงวันทอง ที่จะเข้าไปเจาะผลบ๊วยตอนที่บ๊วยลูกโต และพอเจาะผลบ๊วยเสร็จแล้ว ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ลูกค้า ระหว่างการขนส่งใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน บ๊วยจะเริ่มสุกงอม ตัวอ่อนที่แมลงวันทองเจาะจะเริ่มฟักตัวกลายเป็นหนอนขึ้นมา ที่สวนก็จะมีวิธีป้องกันด้วยการใช้สารล่อแมลงวันทองออกไปให้ห่างจากพื้นที่ในสวนบ๊วย

ปริมาณผลผลิตต่อปี ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บางปีได้มากได้น้อยไม่เท่ากัน หากเฉลี่ยปริมาณผลผลิตจะอยู่ที่ 5-10 ตันต่อปี หรือเก็บได้จำนวน 300 กิโลกรัมต่อต้น ใช้แรงงานคนในการเก็บ และต้องเลือกเก็บเฉพาะบ๊วยที่ลูกเต่งตึง แก่จัดแล้วนำมาคัดไซซ์ส่งให้กับลูกค้าอีกที

บ๊วยพันธุ์สีทอง สีเหลืองสวย ดกเต็มต้น

โดยบ๊วยของที่สวนจะแบ่งเป็นทั้งหมด 4 เกรด ด้วยกัน คือ 1. เกรด AA ขนาดลูกใหญ่กว่าเหรียญ 10 ผิวสวย ไม่มีตำหนิ 2. เกรด A ขนาดผลเท่ากับเหรียญ 10 ผิวสวย ไม่มีตำหนิ 3. เกรด B ขนาดผลใหญ่กว่าเหรียญ 5 ผิวสวย ไม่มีตำหนิ และ 4. เกรด C ขนาดผลประมาณเหรียญ 2 บาท และเหรียญ 5 บาท ผิวสวย ไม่มีตำหนิ

เปรียบเทียบขนาดของแต่ละไซซ์ให้เห็นชัดๆ

ในแต่ละเกรดความต้องการของลูกค้าจะแตกต่างกันออกไป สำหรับลูกค้าที่นำไปดองใส่ขวดโหลโชว์ ต้องการความสวยงามก็จะเน้นสั่งบ๊วยเกรด AA หรือถ้าต้องการบ๊วยที่มีเนื้อเยอะ ต้องการนำไปทำเป็นแยมก็จะนิยมสั่งบ๊วยเกรด A ส่วนเกรด B, C เป็นลูกค้าที่อยากทดลองนำไปดองแต่มีงบน้อย ที่สวนสามารถกระจายสินค้าออกได้ทั้งหมด ไม่ว่าไซซ์ใหญ่หรือเล็ก เพราะบ๊วยแต่ละเกรดมีความแตกต่างกันที่ขนาดผลเท่านั้น ส่วนในเรื่องของคุณภาพและรสชาติไม่ต่างกัน

“ขายออนไลน์ ส่งโรงงาน”
สร้างรายได้ควบคู่กัน

คุณไหนอิง บอกว่า ปัจจุบันที่สวนทำตลาดบ๊วยอยู่ 2 ช่องทางด้วยกัน คือการเก็บส่งให้กับโรงงาน และขายออนไลน์ ส่งทั่วประเทศ โดยรูปแบบการขายทำตลาดทั้ง 2 ช่องทางนี้จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นทางสวนจึงเลือกทำควบคู่กัน และพยายามแบ่งสัดส่วนการส่งให้เท่ากันเพื่อรักษาลูกค้าไว้ทั้ง 2 ทาง และเพื่อให้ผลผลิตที่มีในแต่ละปี ขายได้มากที่สุด ไม่เหลือทิ้งไว้คาสวน

การขายส่งโรงงาน ข้อดีคือมีออร์เดอร์ที่แน่นอน และไม่ต้องเสียเวลาในขั้นตอนการคัดไซซ์ สามารถเก็บใส่ถุงบรรทุกส่งโรงงานได้เลย แต่จะขายได้ราคาที่ถูกกว่าการขายออนไลน์หน่อย

การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อดีคือขายได้ราคาดี แต่การขายออนไลน์จะต้องเพิ่มขั้นตอนในการคัดไซซ์ แพ็กของส่ง เข้ามา ถือเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าแรงงาน ต้องจ้างแรงงานคัดพิเศษ สแกนทุกลูกด้วยมือ

ออร์เดอร์ต่อวันไม่น้อย

ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 30-60 บาทต่อกิโลกรัม แล้วแต่ไซซ์ คิดเป็นรายได้ต่อปีของบ๊วย มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 200,000-500,000 บาท เมื่อเทียบกับการดูแลไม่มาก โดยในช่วงนี้ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนเมษายนเป็นช่วงที่ผลผลิตของที่สวนออก จะมีออร์เดอร์ส่งอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ปริมาณครั้งละ 500 กิโลกรัม

ในอนาคตอยากทำให้สวนมีรายได้จากการขายออนไลน์ทั้งผลสดและแปรรูป โดยตั้งเป้าหมายคือการแปรรูปเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง แบรนด์ตัวเอง สำหรับการสร้างมูลค่า และรองรับตลาดในอนาคตหากการขายส่งให้กับโรงงาน และตลาดออนไลน์ต้องชะงัก การแปรรูปก็ถือเป็นอีกทางออกหนึ่งของสวน

บ๊วยทั้ง 3 สายพันธุ์ ของสวนอิงดอย

เทคนิคขายผลไม้ออนไลน์ยังไง
ให้ยอดขายสุดปัง ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

การขายของออนไลน์เราต้องซื่อตรงกับลูกค้า คือเราขายแบบใช้ใจแรกใจ เราขายแต่ของดีให้ลูกค้า ไม่ดีเราไม่เก็บขาย เราซื้อใจลูกค้าในเรื่องบริการ ใจแลกใจ ไม่โกงลูกค้า ลูกค้าก็จะติด และพอเขาได้ของดี เขาก็จะบอกต่อๆ กันมา อันนี้คือสิ่งที่เราทำได้ที่สุด ในส่วนของรสชาติก็นับเป็นอีกส่วนหนึ่ง การถ่ายคลิปวิดีโอลงเพจให้ลูกค้าเห็นการทำกิจกรรมต่างๆ ของที่สวนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงเพจเราจะเน้นให้ข้อมูลด้านความรู้ ผสมเข้าไปด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้ลูกค้าทั้งการปลูก หรือลูกค้าอยากสั่งบ๊วยแต่ไม่รู้จะสั่งบ๊วยแบบนี้ ข้อมูลตรงนี้ก็ช่วยในการตัดสินใจของลูกค้าได้” คุณไหนอิง กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 097-248-1582 หรือติดต่อได้ที่ช่องทางเฟซบุ๊ก : สวนอิงดอย ผลไม้สดเชียงราย