“ดิลก ชมพูมิ่ง” เนรมิตที่ 4 ไร่ ทำเกษตรผสมผสาน

คุณดิลก ชมพูมิ่ง เกษตรกรรุ่นใหม่ในวัย 31 ปี เริ่มต้นทำสวนเกษตรผสมผสานอย่างจริงจังเมื่อปลายปี 2562 ด้วยเหตุอยากมีรายได้เสริมควบคู่กับรายได้จากงานประจำ แม้ปัจจุบันเขายังรั้งตำแหน่งพนักงานฝ่ายขายอาหารสัตว์บก บริษัทธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่ที่จังหวัดสระบุรี หลังจบปริญญาตรี สาขาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่มีแนวคิดอยากทำอาชีพเกษตรควบคู่ไปด้วย หลังได้เนรมิตเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน ที่บ้านแม่คำมี ตำบลแม่คำมี อำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ เป็นสวนเกษตรผสมผสาน

โดยมีพืชเศรษฐกิจอย่างทุเรียนพันธุ์มูซังคิงและไผ่กิมซุงเป็นตัวชูโรง ทุเรียนจำนวน 147 ต้น ส่วนไผ่กิมซุงจำนวน 110 ต้น ปลูกแซมด้วยพืชผัก สมุนไพรและผักสวนครัว จำพวกขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และไม้ผล อาทิ กล้วย น้อยหน่า มะม่วง ฝรั่งกิมจู ชมพู่ มะละกอแขกดำ หวังให้มีรายได้ตลอดทั้งป

“ตอนนี้งานประจำก็ยังทำอยู่ แต่อยากจะทำอะไรที่เป็นของตัวเองจะได้มีรายได้ เมื่อเกษียณจากงานประจำ บังเอิญได้ซื้อที่มาจากญาติจำนวน 4 ไร่กับ 2 งาน เมื่อก่อนที่ตรงนี้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่พอไม่มีใครทำก็ปล่อยทิ้งรกร้าง ผมเลยซื้อต่อเพื่อเอามาทำสวนเกษตรผสมผสาน อย่างที่เห็นทุกวันนี้”

“ที่คิดปลูกทุเรียนมูซังคิง มองว่าตอนนี้ตลาดหมอนทองกำลังจะเริ่มจะถดถอย มูซังคิงราคาไม่ตก ตอนนี้ราคาหน้าสวนกิโลกรัมละ 500 บาท ผลผลิตออกมาเท่าไหร่ส่งออกหมด มาเลเซียทำตลาดไว้ให้แล้วส่งไปจีน ฮ่องกง และไต้หวันได้ราคาสูงมาก” คุณดิลก เผยถึงสาเหตุที่ปลูกทุเรียนพันธุ์มูซังคิง โดยมองเรื่องตลาดและราคาเป็นจุดเด่น เมื่อเทียบกับทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆ นอกจากนี้ ยังข้อดีเป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย ทนต่อโรค และเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบเชิงเขาและมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นอย่างจังหวัดแพร่ ที่สำคัญใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยปกติมูลซังคิงจะให้ผลผลิตเฉลี่ย 50 ลูกต่อต้น โดยแต่ละลูกจะมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 กิโลกรัม

“ของผมที่ปลูก มี 2 รุ่น รุ่นแรกอายุ 3 ปีกว่า บางต้นเริ่มให้ผลผลิตบ้างแล้ว แต่ก็จะปลิดทิ้งให้เหลือต้นละ 2-3 ลูก อีกรุ่นสองมีอายุเกือบ 2 ปีแล้ว ส่วนการให้น้ำจะนำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้วางระบบในสวนเพื่อประหยัดไฟฟ้า”

นอกจากทุเรียนแล้ว เขายังนำไผ่กิมซุงมาปลูกไว้เป็นแนวรั้วเพื่อกันลมพัดทำลายต้นทุเรียน ทั้งยังป้องกันตลิ่ง เนื่องจากรากไผ่จะยึดดินไว้ป้องกันตลิ่งพัง ขณะเดียวกัน ผลผลิตหน่อไผ่ก็ยังสร้างรายได้อีกด้วย ส่วนสาเหตุที่ปลูกไผ่ชนิดนี้ เพราะเหตุว่าให้หน่อเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งต่างจากไผ่หวานที่ให้ผลผลิตหน่อเฉลี่ยปีละ 2 เดือน ที่สำคัญยังออกมาตรงกับหน่อไม้ไผ่ป่าที่หาได้ไม่ยากนักในเขตพื้นที่จังหวัดแพร่ ส่งผลทำให้ราคาจำหน่ายลดลง เนื่องจากหน่อไม้ไผ่ป่ามาตีตลาด

ขณะเดียวกัน ภายในสวนก็ยังปลูกพืชผัก สมุนไพร ผลไม้นานาชนิดเน้นพืชอายุสั้นที่สร้างรายได้รายวัน เช่น ผักหวานป่า กล้วย น้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ ฝรั่งกิมจู มะละกอแขกดำ พืชสมุนไพรและผักสวนครัว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะเขือ พริก เป็นต้น โดยมีตลาดชุมชนอำเภอหนองม่วงไข่ รองรับผลผลิต อีกทั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงหน้าสวน และบางส่วนจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

เกษตรกรคนเดิม ตั้งเป้าหมายวางแผนการผลิตภายในสวน เพื่อให้มีเงินหมุนเวียน และสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวตลอดทั้งปี ตั้งแต่ 3 เดือนแรก ซึ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายผักสวนครัว ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน จากนั้นใน 1 ปีแรก มีรายได้จากการจำหน่ายกล้วย และพืชผักสวนครัว 2,000-3,000 บาทต่อเดือน และช่วง 1 ปีครึ่งถึง 4 ปี มีรายได้จากการขายหน่อไม้ กล้วย และพืชผักสวนครัว 7,000-9,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันทำเกษตรผสมผสานมาแล้ว 4 ปี คาดว่าถ้าทุเรียนให้ผลผลิต จะมีรายได้จากการจำหน่ายทุเรียน และหน่อไม้ประมาณ 30,000-70,000 บาทต่อเดือน

คุณดิลก ชมพูมิ่ง

“ที่สวนจะไม่มีจ้างแรงงาน แต่จะให้พ่อแม่และญาติๆ ช่วยกันดูแลสวนทุเรียน ส่วนการปลูกไผ่ ผลไม้ พืชผักสวนครัวก็เพื่อให้พวกเขามีรายได้แทนที่จะจ้างแรงงานมาดูแลสวน ส่วนเราจะมุ่งเป้าที่ทุเรียนอย่างเดียว คาดว่าปีหน้าทุเรียนชุดแรกก็จะให้ผลผลิตแล้ว จากนั้นต่อด้วยชุดที่สอง หากทุเรียนให้ผลผลิตทั้งสองชุด คำนวณจากราคามูซังคิงขั้นต่ำกิโลกรัมละ 200 บาท คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาทต่อปี ส่วนตลาดไม่กังวล มีบริษัทส่งออกพร้อมรับซื้ออยู่แล้ว” คุณดิลก บอก