เปลี่ยนข้าวเคมีสู่ข้าวอินทรีย์ กับชาวนาดีเด่น “ภาณุสิทธิ์ มั่นคง”

ในยุคปัจจุบัน คนไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษ กำลังได้รับความนิยมกับกลุ่มคนที่รักสุขภาพ และได้หันมาให้ความสำคัญกับวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร “ข้าวอินทรีย์” จึงเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ในยุคนี้เวลานี้

คุณภาณุสิทธิ์ มั่นคง ชาวนาในตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าของรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปีนี้ สาขาอาชีพทำนา ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยเริ่มต้นใน ปี พ.ศ. 2553 จากการได้เห็นเกษตรกรรายอื่นในชุมชนที่ใช้สารเคมีทางการเกษตร และต่อมาเกษตรกรรายนั้นได้เสียชีวิตลง จึงเกิดความรู้สึกว่า อาชีพชาวนา นอกจากความยากลำบากแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการรับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกาย เขาจึงศึกษาค้นคว้าและน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาปรับใช้ในการทำนา เพื่อต้องการให้ชาวนาหรือเกษตรกรมีศักยภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า การผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่เขาเลือก โดยปรับเปลี่ยนการทำนาแบบเดิมมาเป็นนาเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมีลง

ในพื้นที่นา 24 ไร่ คุณภาณุสิทธิ์ มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ โดยในแต่ละที่นานั้นจะมีแปลงสระน้ำเก็บน้ำเพื่อทำการเกษตร เลี้ยงปลา และแหนแดงไว้ใช้ในนาข้าว ส่วนบริเวณขอบสระจะปลูกกล้วย ผัก ไม้ยืนต้น และเลือกนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ เช่น การปรับปรุงดินโดยไถกลบตอซัง ใช้ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยจากมูลไส้เดือน และปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ แก้ปัญหาโรคแมลงศัตรูข้าว โดยใช้เชื้อราบิวเวอเรียและเชื้อราไตรโคเดอร์มา การปลูกพืชคลุมดิน หรือการปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการพังทลายของดิน การใช้เครื่องจักรกลมาช่วยในการทำนา ได้แก่ ใช้เครื่องพ่นเมล็ดข้าวแห้ง รถปักดำ รถเก็บเกี่ยว เป็นต้น

คุณภาณุสิทธิ์ มีแนวคิดในการทำงานนอกเหนือจากการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อยู่ 3 ประการ คือ ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณภาพผลผลิต และเพิ่มมูลค่าผลผลิต หากทำได้ครบ 3 ข้อนี้ เขามั่นใจว่า ศักยภาพชาวนาจะต้องดีขึ้น และก็เป็นจริงเหมือนที่ได้คาดการณ์ไว้ เพราะผลผลิตต่อไร่ที่ได้รับจากการทำอินทรีย์ของคุณภาณุสิทธิ์นั้นมีค่าเฉลี่ยที่มากกว่าเกษตรกรรายอื่นในชุมชน โดยข้าวขาวดอกมะลิ 105 ค่าเฉลี่ยของชาวนารายอื่นในพื้นที่เดียวกัน อยู่ที่ 500 กิโลกรัม/ไร่ แต่การปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ของคุณภาณุสิทธิ์ ได้ผลผลิต 600 กิโลกรัม/ไร่ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ ได้ 575 กิโลกรัม/ไร่ ของคุณภาณุสิทธิ์ได้ 680 กิโลกรัม/ไร่

สถานที่อบรม
ปุ๋ยมูลไส้เดือน

สำหรับการทำนาในปี 2559 ที่ผ่านมา มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 7,780 บาท/ไร่ มีรายได้ 31,650 บาท โดยเจ้าตัวมีการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดโดยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์จำหน่ายและบางส่วนเก็บไว้ใช้เอง และนำสินค้าแปรรูปที่ผลิตได้ไปวางจำหน่ายในชุมชน นอกชุมชน ร้านขายของฝาก ตลาดออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายสำหรับจำหน่ายผลผลิตประจำ เกิดเป็นความมั่นคงยั่งยืนในอาชีพการทำนา และมีแนวโน้มการขยายพื้นที่การผลิตเพิ่มขึ้น จากความสำเร็จที่ได้รับ ทำให้เกษตรกรในชุมชนสนใจและเข้ามาขอคำปรึกษา คำแนะนำ และนำไปปฏิบัติ ทำให้การทำนาอินทรีย์เริ่มแพร่หลายในชุมชนมากยิ่งขึ้น

แหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงาน
ปักดำ

ถือได้ว่า คุณภาณุสิทธิ์ เป็นผู้นำด้านการทำนาอินทรีย์ในชุมชน ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องการผลิตข้าวอินทรีย์ และเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการในองค์กรต่างๆ เช่น เป็นประธานศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน กรรมการศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ กรรมการตรวจสอบมาตรฐานภายในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ศูนย์ข้าวชุมชน และเพราะได้ดำเนินการผลิตที่ถูกหลักการเกษตร จึงทำให้ได้รับใบรับรอง GAP และใบรับรองมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ จากกรมการข้าว และทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยการเป็นผู้ประสานงานกลุ่มผู้ตรวจประเมินแปลงผลิตข้าว GAP และข้าวอินทรีย์ กรมการข้าว และเป็นแหล่งเรียนรู้การทำนาอินทรีย์

รวบรวมสายพันธุ์

การทำนาอินทรีย์ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับชาวนายุคใหม่ โดยคุณภาณุสิทธิ์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการหันกลับมาทำนาอินทรีย์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก และนอกจากจะได้ผลผลิตที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอีกทางหนึ่ง และสนับสนุนให้เกิดการทำเกษตรแบบยั่งยืน ซึ่งชาวนาสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วย สำหรับผู้สนใจการทำนาอินทรีย์สามารถติดต่อสอบถามจาก คุณภาณุสิทธิ์ มั่นคง เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2560 ได้ที่ เลขที่ 209 หมู่ที่ 3 ตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือ โทร. (086) 848-4861