ใกล้เกษียณแล้วนะครับ จะทำอะไรดี

ท่านที่เกิด พ.ศ. 2504 นับแต่ 1 มกราคม 2564 ครบ 60 ปี เกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายน 2564 ทางราชการนับเกษียณอายุราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2503 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ดังนั้น ท่านที่เกิดวันที่ 1  ตุลาคม 2503 จึงได้วันเวลาเพิ่มอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และเกษียณตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564

จากวันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 มีเวลาปฏิบัติหน้าที่การงานอีก 2 เดือน 15 วัน

คิดหรือยังว่า เกษียณอายุ 60 ปีแล้วจะทำอะไร

เขาว่าคนจีนสอนลูก 3 สิ่งที่ควรมียามแก่ชราให้ชีวิตมีความสุขสดชื่น คือ

“เหล่าจี้” ต้องมีเงินเก่ามาใช้ยามจำเป็น ไม่ใช่แก่แล้วยังต้องไปทำงานหากินให้ลำบากอีก ทางราชการเห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ จึงกำหนดให้ข้าราชการที่เกษียณแล้วมีเงิน 2 ประเภท คือ บำเหน็จ หรือบำนาญ แล้วแต่ว่าจะเลือกอะไร ส่วนใหญ่เหลือ “บำนาญ” เนื่องจากบำนาญคือเงินที่คล้ายเงินเดือน คือมีจ่ายให้ทุกเดือน แล้วเมื่อเสียชีวิตยังมีให้ถึงสามีหรือภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจนอายุ 25 ปี (อย่างนั้นใช่ไหม)

ส่วนงานรัฐวิสาหกิจเลียนแบบราชการ แต่จะจ่ายถึงภรรยา-สามี ถึงบุตรหรือไม่ ไม่ทราบ

บำเหน็จจ่ายให้ครั้งเดียว เป็นกี่เท่าของเงินเดือนน่าจะแล้วแต่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ

งานของเอกชนที่มีหลักฐานมั่นคงจะจ่ายเป็นเงินพิเศษครั้งเดียว เป็นกี่เท่าของเงินเดือนไม่ทราบเช่นกัน

เอาเป็นว่า เมื่อทำงานครบอายุ 60 ปี ต้องเกษียณ งานราชการและรัฐวิสาหกิจย่อมมั่นคงกว่างานเอกชน

กระนั้น ไม่ว่าจะทำงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน ที่สำคัญมากคือ ต้องมีเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นทุน หรือเป็นเงินเก่าเพื่อใช้ทั้งยามจำเป็นและยามที่แก่อายุมากไว้ใช้ ไม่ใช่แก่แล้วยังต้องไปทำงานหากินลำบาก

นั้นประการหนึ่ง

ประการที่สอง คือ “เหล่าโบ้ว” ต้องมี “เมียเก่า” หมายถึงเมียคนเดิมจะแก่หรือสาวแล้วแต่ว่ามีเมียตั้งแต่อายุเท่าไร อยู่เป็นเพื่อน เพื่อช่วยกันดูแลปรนนิบัติยามเจ็บป่วย หรือแม้แต่ยามสบาย รู้ใจกันเสมอ

ประการสุดท้าย คือ “เหล่าอิ้ว” เพื่อนเก่า ต้องมีไว้ปรึกษา พูดคุย ปรับทุกข์สุข สนทนา ด่าว่าต่อว่าได้ทุกเรื่อง ไม่ถือสา เพราะรู้จักกันมานานแล้วจริงๆ

ทั้งสามประการนี้ หากใครมีไว้ตั้งแต่ยามหนุ่มถึงยามเกษียณถึงหลังเกษียณ นับว่าโชคดี ถึงเวลาไม่เดือดร้อน เรียกว่าแก่อย่างมีความสุข

อีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อยได้คิดกันว่าสำคัญ ด้วยไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องของลูก เลี้ยงลูกแต่ละวันแต่ละเดือนจนเติบโต เรียนสำเร็จ ทำงานแล้วก็แล้วกัน เคยคิดมั่งไหมว่า ลูกอยากรู้เรื่องของพ่อแม่ว่าทำงานมาถึงวันนี้ เรื่องหนึ่งคือเคยมีความภูมิใจ หรือมีความสำเร็จเรื่องอะไรบ้าง

ด้วยเหตุว่า ไม่ค่อยได้พูดคุยกับลูก ทั้งเวลาของแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ เลิกจากงานยังมีงานอื่นต่อ มีประชุมต่อ ไปกินเลี้ยง ไปงานเลี้ยงกับเพื่อน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่น เมื่อลูกยังเด็กเล็กส่วนมากจะให้แม่บ้านหรือคนเลี้ยงลูกเป็นผู้ดูแล ตื่นเช้าขึ้นมา แม่บ้านทำอาหารให้กิน แต่งตัวลูก รอรถมารับไปโรงเรียน หรือไม่พ่อก็แม่ไปส่ง จนโต ถึงเวลาให้ไปโรงเรียนเอง จนเรียนจบมหาวิทยาลัย บางคนต้องไปส่งลูกตอนเรียน ขึ้นรถลูกก็หลับ ตกเย็นกลับรถโรงเรียน หรือโตพอขึ้นรถเมล์กลับบ้านเองได้

ประเดี๋ยวเดียวลูกโต ทำงานแล้ว ยิ่งไม่ได้คุยไม่ได้กินข้าวด้วยกัน วันเสาร์วันอาทิตย์จะได้อยู่พร้อมกันพ่อแม่ลูกสักครั้งหนึ่งไหม

อ้าว…ลูกโตขึ้นมาหน่อย ลูกชายก็ติดสาว พาสาวมาบ้าน ลูกสาวบางคนมีหนุ่มมาติด หรือไม่ก็อยู่ติดบ้าน

เหลือเวลาอีกสองเดือนครึ่งที่ต้องมีภาระไปปฏิบัติหน้าที่การงาน จากนั้น 1 ตุลาคม หลายคนจบจากตำแหน่งการงานไม่ได้ไปทำงานอื่น แล้วทีนี้คิดหรือยังว่าจะทำอะไร ลูกก็โตหมดแล้ว ตัวผัวตัวเมียอาจจะยังไม่เกษียณ แต่ยังมีงานบ้านต้องช่วยแม่บ้านทำ วันนี้อาจต้องทำงานบ้านเอง ด้วยสถานการณ์ “โควิด” ลองคิดดูนะขอรับกระผม