อนุชากางแผน ดันเกษตรกร หลุดพ้นยากจน

บริหารงานมา 2 เดือนกว่าแล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลายกระทรวงได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายต่างๆ ที่ได้ประกาศเอาไว้ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกหนึ่งกระทรวงสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้รับมอบจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดูแล 4 หน่วยงาน คือ กรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน (พด.) สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และองค์การสะพานปลา (อสป.) กล่าวถึงการขับเคลื่อนหน่วยงานดังกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้แยกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก มาทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน คือ กรมการข้าว และกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อมาดูในเรื่องของการเพาะปลูก ผนวกกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เพื่อเข้ามาดูเรื่องมาตรฐานของผลผลิต เพื่อให้ทั้ง 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนี้ ช่วยเหลือและผลักดันเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

อีกทั้งต้องการช่วยเหลือให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน ที่ต้องประสบพบเจอมาเป็นเวลานาน เนื่องจากปัญหาเรื่องหนี้สิน และปัญหาเรื่องการขาดทุน จนนำไปสู่การเสียที่ดินทำกินของตัวเองไป จึงเป็นที่มาของการควบรวม 3 หน่วยงานที่อยู่ในการดูแล เพื่อให้มาทำงานร่วมกัน และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมถึงทำให้เกษตรกรร่ำรวยขึ้นอีกด้วย

ได้สั่งการให้กรมการข้าวดูแลเรื่องผลผลิตข้าวให้มีคุณภาพมีปริมาณเพิ่มขึ้น โดยการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ในการแข่งขันกับตลาด สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะนี้ใกล้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว แต่ความสำเร็จดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรทุกคนหลุดพ้นความยากจน ดังนั้น จึงต้องมีการส่งเสริมเรื่องการแบ่งพื้นที่ทำนาไว้ปลูกพืชหลังทำนาเป็นอาชีพเสริม อาทิ การเพาะเห็ดขายหลังการทำนา เพื่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

นายอนุชา อธิบายเพิ่มเติมว่า ส่วนการทำงานดำเนินงานของกรมพัฒนาที่ดิน เมื่อทราบถึงโจทย์ที่จะต้องบูรณาการร่วมกันเพื่อให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน ตามนโยบายของรัฐบาล กรมพัฒนาที่ดินจึงได้มีการเตรียมแผนพัฒนาที่ดินให้ตอบโจทย์ในส่วนของการเพาะปลูกข้าว จะมีการวิเคราะห์ธาตุในดิน เพื่อปรับปรุงให้ดินมีความเหมาะสมกับพันธุ์ข้าวที่จะปลูกได้ดีมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือ กรมการข้าว ที่มีแผนให้ประชาชนแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งมาปลูกพืชปศุสัตว์ เรื่องนี้ทั้ง 2 กรมอยู่ระหว่างบูรณาการร่วมกันอยู่ โดยคาดว่าจะเริ่มนำร่องในพื้นที่จังหวัดชัยนาท เพื่อทำเป็นชัยนาทโมเดล ก่อนที่จะขยายไปในจังหวัดอื่นๆ

ขณะที่การดำเนินเงินของ มกอช. หลังจากนี้ต้องเข้ามาดูแลเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มากขึ้น ในอนาคตไทยอาจขึ้นเป็นครัวของโลกอย่างแท้จริง จากที่ฝันจะเป็นครัวของโลกมาเป็นเวลายาวนาน แต่ไม่ได้เป็น เนื่องจากไทยเน้นเรื่องการเพาะปลูกอย่างเดียว ตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ในส่วนนี้เล็กมาก ไม่ตอบโจทย์ถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชน ตลอดจนโลกก็ไม่สามารถกระเตื้องได้ จึงทำให้ไทยไม่สามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ ดังนั้น ต้องหันมาผลักดันเรื่องสินค้าปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มยอดขาย จีดีพี และไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้เร็วมากขึ้น ดังนั้น มองว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะพัฒนาให้ไทยเป็นครัวของโลกด้านแหล่งโปรตีน

ส่วน โครงการโคล้านครอบครัว ที่เริ่มในสมัยที่ นายอนุชา ได้รับหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยได้ทดลองให้ชาวบ้านที่อยู่ในกองทุน เลี้ยงโคจำนวน 1,000 ครัวเรือน หรือเป็นโคประมาณ 2,000 ตัว จนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯย้ำว่า มีแผนที่จะนำความสำเร็จของโครงการโคล้านครอบครัว หรือโครงการโคเงินล้าน มาให้ชาวนามาดำเนินการ แบ่งพื้นที่ปลูกข้าวมาปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงโค ซึ่งได้มีการพิสูจน์ผ่านโครงการดังกล่าวแล้วว่าสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้จริง และตอบโจทย์ปัญหาเรื่องการหลุดพ้นจากความยากจน ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 6 ปี สามารถจับเงินล้านได้แล้ว ลูกหลานเกษตรกรที่อยากรวยก็สามารถรวยได้แล้ว อาจจะไม่ต้องเก่ง หรือมีความสามารถเลอเลิศก็สามารถรวยได้ ขอแค่เกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็น ซึ่งเรื่องนี้เป็นการข้ามขีดความสามารถของมนุษย์ ถือว่าตอบโจทย์กับชาติพันธุ์ของไทย ที่เป็นกลุ่มเกษตรกร เราสามารถสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ได้ เพียงแค่คิดใหม่ทำใหม่ จึงมีการนำแนวคิดนี้เข้ามาเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับชาวบ้าน และช่วยเพิ่มรายได้ในอนาคตได้ต่อไป

การต่อยอดโครงการโคล้านครอบครัวนั้นคาดว่าในอนาคตอาจมีการขอความช่วยเหลือจากกรมปศุสัตว์ เนื่องจากเป็นกรมที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเลี้ยงสัตว์ สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนได้ ซึ่งกรมปศุสัตว์อยู่ในการกำกับดูแลของนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เบื้องต้นได้มีการพูดคุยร่วมกันแล้ว มีเป้าหมายเดียวกันคือทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากได้ต่อไปอีกด้วย

จากการสำรวจพบว่าคนไทยยังบริโภควัวน้อยมาก หรือประมาณ 2.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน บริโภคประมาณ 10-20 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เพราะฉะนั้นตลาดเนื้อวัว เนื้อโค ของไทยยังกว้างมาก มองว่าไทยยังพัฒนาเรื่องนี้ได้อีกเยอะ ไม่ใช่เพียงโคคณิตศาสตร์ แต่ยังสามารถพัฒนาสายพันธุ์ไปสู่โคที่มีมูลค่าสูง เป็นโคเกรดพรีเมียมได้

เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงจีดีพีภาคเกษตรสูงขึ้นให้ได้ โดยการคิดอะไรใหม่ๆ อาทิ การทำปศุสัตว์อย่างเต็มรูปแบบ การเลี้ยงวัวเนื่องจากให้ผลตอบแทนสูง 1 ปี โตกว่า 300% อาหารส่วนใหญ่เป็นหญ้า ออกลูกให้ทุกปี มองว่าวัวถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่จะช่วยกระตุ้นตัวเลขจีดีพีของประเทศได้เลย หากผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ จีดีพีภาคเกษตรมีโอกาสพุ่งขึ้นมาเป็นครึ่งหนึ่งของจีดีพีประเทศได้

หากเราร่วมกันทำความฝันนี้ให้เป็นจริง เชื่อว่าเมื่อนั้นคนไทยจะหลุดพ้นจากความยากจน และประชาชนจะมีความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกเยอะเลย อนุชากล่าวทิ้งท้าย

เป็นแผนที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น หลุดพ้นจากความยากจน