เอลนีโญ ทำโลกร้อน กระทบน้ำต้นทุน แนะเกษตรกรปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ ปรับเปลี่ยนปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย

นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น เป็นปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มส่งผลแล้วในหลายพื้นที่ และคาดการณ์ว่า ภาวะเอลนีโญในปีนี้จะหนักขึ้นมากกว่าในปี 2566 โดยในปี 2567 อุณหภูมิโลก คาดว่าจะสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งและขาดแคลนน้ำ ทั้งจากปริมาณน้ำฝนที่จะตกในช่วงฤดูฝนน้อยลง และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จะต่ำกว่าร้อยละ 20 หลังจากผ่านต้นปีไปแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงครึ่งปีแรก ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน อากาศจะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ท้าทาย สำหรับการปลูกพืช และการผลิตสินค้าเกษตร รวมถึงปศุสัตว์และประมงจะเกิดภาวะแล้งในหลายพื้นที่

สำหรับผลพยากรณ์ของ สศก. คาดว่าเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง ปี 2567 (ข้อมูล ณ กันยายน 2566) จะมีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และให้ผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม โดยลดลงจากปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 11.099 ล้านไร่ ผลผลิต 7.199 ล้านตันข้าวเปลือก ผลผลิตต่อไร่ 649 กิโลกรัม เนื่องจากผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำแหล่งน้ำตามธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรในบางพื้นที่จึงปล่อยพื้นที่ให้ว่าง ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้มีอากาศร้อนและแล้งมากขึ้น ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และคาดว่าจะมีวัชพืชขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์

จากการติดตามและวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรพบว่า จากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและอุณหภูมิ ที่สูงขึ้น การระเหยของน้ำมีมากขึ้น จำเป็นต้องใช้น้ำเพื่อการเจริญเติบโตในอัตราที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่าย (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า) ที่ใช้ในการสูบน้ำเข้าแปลงนาสูงขึ้นประมาณ 10-20% ต่อไร่ ประกอบกับช่วงฤดูร้อนมักได้รับความเสียหายจากแมลงศัตรูพืช อากาศร้อนทำให้พืชอ่อนแอลง อีกทั้งมีโอกาสถูกโจมตีจากแมลงศัตรูพืชได้มากกว่าปกติ ซึ่งเกษตรกรจะเลือกใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดแมลงศัตรูพืชเหล่านั้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรใช้ในการปราบศัตรูพืชและวัชพืชเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อไร่ ทั้งนี้ จากสถานการณ์ข้างต้น คาดว่าภาพรวมต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยต่อไร่สูงขึ้นโดยรวมประมาณ 3-5%

“สศก. ขอแนะนำเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ขาดแคลนน้ำหรือห่างจากแหล่งน้ำปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เพื่อลดความเสี่ยงทั้งด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายของพืชจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง พืชผัก เป็นต้น ทั้งนี้ จากงานวิจัยพบว่า การปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้สภาพดินเสื่อมโทรม แตกต่างจากการปลูกพืชหมุนเวียนหรือผสมผสาน นอกจากจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดินเสื่อมโทรมแล้ว ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ดังนั้น เกษตรกรควรจะปลูกพืชหมุนเวียนหรือผสมผสานให้มากขึ้นถึงจะอยู่รอดได้ และยังช่วยให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ในช่วงเวลาที่หลายๆ พื้นที่กำลังประสบปัญหาภัยแล้ง จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย” รองเลขาธิการ สศก. กล่าว

ข้อมูลจาก : ศูนย์สารสนเทศการเกษตร