ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานบอร์ด กยท. มอบ 7 นโยบายทำงานเชิงรุก ภายใต้แนวคิด “อยู่ได้ พอใจ ยั่งยืน” พัฒนาต่อยอดยางพาราทั้งระบบ

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย มอบนโยบายขับเคลื่อนยางพารา ภายใต้แนวคิดหลัก “อยู่ได้ พอใจ ยั่งยืน” พร้อมชู 7 นโยบายสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนยางพาราไทยสู่เอกภาพ มุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในระบบยางพารา โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นำโดย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ และตัวแทนพนักงานทุกสังกัด ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ เข้ารับฟังนโยบาย ณ ห้องประชุมกันตัง กยท. สำนักงานใหญ่

ดร.เพิกเผยถึงแนวทางการขับเคลื่อนยางพารา โดยยึดโยงหลักการสำคัญ 3 ประการ “อยู่ได้ พอใจ ยั่งยืน” ว่า กยท. จะมุ่งดำเนินการผลักดันมาตรการส่งเสริมเกษตรกรชาวสวนยางให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สามารถหล่อเลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่การสร้างความพึงพอใจให้กับเกษตรกร เช่น ราคายางที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น การลดต้นทุนการผลิต ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ซึ่งต่อจากนี้ กยท. จะเร่งหาแนวทางสร้างมาตรฐานยางในด้านต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างความยั่งยืนด้านยางพาราให้กับเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนต่อไป โดยได้กำหนด 7 นโยบายในการขับเคลื่อน หลักการสำคัญ 3 ประการให้สำเร็จตามเป้าหมาย ดังนี้ “อยู่ได้” โดยการ การสร้างปัจจัยการผลิตแบรนด์ กยท. เช่น น้ำกรด ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี โดยการใช้ปัจจัยการผลิตภายใต้แบรนด์ กยท. จะช่วยลดต้นทุนและสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมทั้ง ติดอาวุธทางความรู้และเครื่องมือ

ในการประกอบอาชีพให้เกษตรกรชาวสวนยาง โดยส่งเสริม ถ่ายทอดเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ผ่านมาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานด้านต่างๆ ตอบสนองความต้องการของเกษตรกร ในการมาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการสวนยางของตนเอง ส่งผลให้เกษตรกรเกิดความ “พอใจ” พร้อมมุ่งบริหารจัดการโรคใบร่วงอย่างจริงจัง โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนค้นคว้างานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงในยางพาราอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน กยท. จะเร่งออกโฉนดไม้ยางทุกพื้นที่ทั่วไทย โดย กยท. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับเกษตรกรที่จะใช้โฉนดไม้ยางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอรับบริการสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เช่นเดียวกับไม้ยืนต้น 52 ชนิด ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนสำหรับการประกอบอาชีพการทำสวนยาง

พร้อมปูมาตรการสู่ความ “ยั่งยืน” โดยการสร้างตลาดยางมาตรฐานเดียวกัน 500 ตลาดทุกท้องถิ่นทั่วไทย รองรับ EUDR (Deforestation-free Product Regulation) โดยผลักดันระบบตลาดยางในประเทศให้พร้อมรองรับการตรวจสอบย้อนกลับตามมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ยางของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 4 ล้านตันต่อปี โดยมีเพียง 2 ประเทศที่มีระบบรองรับการตรวจสอบย้อนกลับยางพารา คือ แอฟริกา และประเทศไทย

ในส่วนของประเทศไทยมียางที่รองรับการตรวจสอบย้อนกลับได้ตามมาตรฐานยุโรปประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ซึ่งภายในปีนี้ กยท. ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณยางดังกล่าวให้ได้ 2 ล้านตันต่อปี และอีกหนึ่งนโยบายที่มุ่งส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มของยางจากการแปรรูป โดยผลิตยางล้อ แบรนด์ กยท. ร่วมกับภาคเอกชนเพื่อนำไปใช้ในหน่วยงานของภาครัฐ และต่อยอดไปถึงการส่งออกต่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเน้นการทำตลาดแบบจริงจัง โดยนำวัตถุดิบยางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น รองเท้าบู๊ต หมวกนิรภัย ทั้งนี้ จะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาด 400,000 ตันต่อปี และช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราได้อย่างยั่งยืน

ดร.เพิกยังได้มอบนโยบายการบริหารองค์กรและการจัดการบุคลากรภายใน กยท. ว่า ต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน โดยส่งเสริมทักษะการทำงานแบบเชิงรุก เพื่อยกระดับทักษะที่เรา (Upskill) มีและสร้างทักษะที่จำเป็นกับการทำงานขึ้นมาใหม่ (Reskill) ควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ส่งผลให้การดำเนินงานขององค์มีประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่การขับเคลื่อนงานด้านยางพาราให้บรรลุเป้าหมายและเกิดประโยชน์แก่ชาวสวนยางในที่สุด

“สำหรับการบริหารองค์กรให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หัวใจสำคัญ คือการทำงานโดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยกันขับเคลื่อนบทบาทและภารกิจขององค์กรไปด้วยกัน จะทำให้เกิดเอกภาพในการทำงานและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญได้ในที่สุด” ดร.เพิก กล่าวทิ้งท้าย