คนเกษตรเล่าเรื่อง: ลอสแอนเจลิส (ตอนที่ 3)

อยู่มาแล้วประมาณ 3 วัน เมื่อมีเพื่อนมารับไปข้างนอก ซึ่งดีใจมากๆ ที่ได้เที่ยว แต่ก็อดคิดถึงหลานทั้ง 3 ไม่ได้ ต้องขออนุญาตหลานก่อน ถึงจะไปได้ เพราะกลัวว่าหลานจะเป็นห่วง เกรงว่าตากับยายจะกลับบ้านไม่ถูก มีหลานรัก ก็เป็นแบบนี้เอง

เพื่อนเกษตร (ดำรง) ที่มารับ เป็นเพื่อนที่มาทำมาหากินที่นี่ ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จทางธุรกิจดีพอสมควร เคยมาหาเพื่อนที่นี่หลายครั้งแล้ว และเพื่อนเองก็อายุมาก เลิกกิจการค้าขายแล้ว ไปใช้เวลาอยู่เมืองไทยบ้าง ทำให้ได้พบกันเป็นครั้งคราว นอกจากนั้น ในวันจันทร์นี้ เพื่อนเกษตรหลายๆ คน ก็จะนัดพบกัน เนื่องในโอกาสที่ผมได้มาเยี่ยมเยียนถึงถิ่น คำว่าเพื่อน มีความหมายอยู่ในใจของผมด้วยเหตุนี้ เสมอมา

ดำรงได้พาผมไปกินอาหารไทย แถวที่ผมพักตั้งแต่ 11 โมงกว่าๆ ทำให้ได้ลิ้มรสอาหารไทยอันเลื่องชื่อของที่นี่ โดยเฉพาะเส้นใหญ่ราดหน้ากุ้ง อร่อยมาก เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวผัดอื่นๆ ต่อจากนั้น ได้พาผมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ชื่อว่า Getty ซึ่งอยู่บนยอดเนินเขาที่สูงสวยงามมาก ห่างจากที่พักพอสมควร ขับรถไปไหนๆ ที่นี่ถ้าเทียบกับบ้านเรา ก็เหมือนกับไปจังหวัดใกล้เคียง ระยะทางหลายสิบกิโลเมตร เพราะที่นี่เป็นเมืองใหญ่

สังเกตดู ทางด่วนที่เรียกว่า high way มีรถหนาแน่นตลอดเวลา แม้จะเป็นวันเสาร์ก็ไม่สามารถจะวิ่งเร็วๆ ได้ แต่ยังไงก็ตาม คิดว่าคงไม่มีการตั้งกล้องถ่ายรูปจับรถยนต์ที่ผิดกฎจราจร โดยเฉพาะจับความเร็ว หรือจะไม่มีการขับรถออกนอกเลนไปแทรกเข้าเอาข้างหน้าเอาเปรียบรถคันอื่นที่ต้องจอดอยู่นิ่งๆ หรือเคลื่อนไปช้าๆ ซึ่งนับว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของผู้กระทำอย่างมาก ที่นี่เขาตั้งกฎขึ้นมา คงต้องรักษากฎ ด้วยความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรีของตัวเอง นับว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้คนทั่วไป อีกประการหนึ่ง การตั้งกล้องถ่ายรูปเพื่อจับรถผิดกฎจราจร ไม่สามารถดัดนิสัยการขับรถที่ผิดมารยาทของคนได้ บางครั้งทำผิดโดยไม่ตั้งใจก็โดนหมด จึงมีแต่สร้างความเครียดให้แก่คนจนที่ไม่ค่อยมีเงินเสียค่าปรับ การรักษากฎเกณฑ์ของสังคมและเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นรอบข้าง จำเป็นจะต้องอบรม และเป็นที่ยอมรับปฏิบัติโดยเคร่งครัดมาตั้งแต่เยาว์วัย ควรยกเลิกระบบอภิสิทธิ์ชนให้ได้ ยกเว้นคนแก่ คนพิการ และเด็กวัยอ่อน

Getty เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนยอดเนินสูง มองลงมาเห็นวิวสวยงามมาก มีการตกแต่งสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ดี นอกจากจะเดินดูในห้องต่างๆ แล้ว ยังจะนั่งระเบียงภายนอก มีเครื่องดื่ม อาหารว่างจำหน่าย ลมโชยอากาศที่นี่ดีมากๆ แต่ถ้าเพิ่งมาจากเมืองไทย ก็อย่าลืมเสื้อแจ๊กเก็ต กันลมเย็นๆ ด้วย

สำหรับสิ่งที่โชว์ในห้องต่างๆ เป็นภาพเขียนสีน้ำมัน ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1700 กว่าๆ หรือ 1600 กว่าๆ ซึ่งเป็นภาพในยุโรป เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส หรือประเทศอื่นๆ ใกล้เคียง นอกจากนั้น ยังมีรูปปั้นเก่าๆ ชุดโต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน พรมปูพื้น นาฬิกาตั้งโต๊ะ (แขวน) ซึ่งเป็นของเก่าหลายร้อยปี ซึ่งทุกภาพและสิ่งของการแสดงจะมีเรื่องเล่า หรือคำอธิบายชัดเจน มีกล่องบันทึกข้อมูลและหูฟังให้ขอยืม เปิดฟังได้ เมื่อดูการแสดงแต่ละเรื่องแล้วทั้งหมดจะทำให้เห็นเหตุการณ์ เมื่อประมาณ 300-400 ปีที่ผ่านมา ว่าผู้คนชายหญิงในยุโรปแต่งตัวกันอย่างไร ทำให้เห็นอักษรโรมันในนาฬิกาซึ่งมีระบบตัวเลขเรียงเหมือนกับในปัจจุบัน ในภาพต่างๆ นั้น ยังเห็นตึกอาคารเก่าๆ ที่แข็งแรงมาก และประเพณีที่ยังอยู่จนถึงปัจจุบัน สำหรับพรมปูพื้นนั้น จะได้เห็นลวดลายเหมือนเป็นภาพเขียนเก่าๆ ที่ใช้ความละเอียดประณีต ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 300-400 ปีก่อน ข้อสำคัญคือ สิ่งที่แสดงเหล่านี้คือของจริงที่เก่าทุกชิ้น มิใช่เป็นของใหม่ที่เล่าเรื่องเก่า และสิ่งของที่โชว์ที่นี่ไม่ได้ใช้ตะปูตอกเข้าข้างฝา แต่ใช้ระบบแขวนกับเพดาน หรือถ้าจะต้องวางบนพื้นหรือบนแท่น ก็วางบนแผ่นรองที่ทำพิเศษ สามารถกันแผ่นดินไหวได้

สิ่งที่น่าศรัทธามากๆ ที่นั่น คือความโอ่อ่าและระบบการบริการที่ดี ตั้งแต่ที่จอดรถ การนั่งรถไฟฟ้าจากที่จอดรถเข้าไปอาคารการแสดง และการเข้าออกอาคารต่างๆ เชื่อไหมว่า ทุกอย่างบริการฟรีหมด ทำให้ผู้มาเยือนต่างถิ่นแบบเรา ศรัทธาในการบริการประชาชนที่ต้องเสียภาษีมามากพอสมควรแล้ว

แต่ทั้งนี้เราต้องเสียแต่ค่าใช้จ่ายในการจอดรถคันละ 15 เหรียญ และค่าอาหารว่าง เครื่องดื่มที่จะต้องซื้อกันเองเท่านั้น โดยเฉพาะการไปเที่ยวในครั้งนี้ ได้ไปกับผู้พิการ ซึ่งได้รับบัตรสัญลักษณ์ handicap จากโรงพยาบาล มีกำหนดสิ้นสุดชัดเจน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้พิการอะไร โดยที่ภรรยาของเพื่อนกำลังจะเข้ารอเปลี่ยนหัวเข่า จึงได้บัตรผู้พิการมาติดหน้ารถ และเวลาเข้าชมนิทรรศการก็นั่งรถเข็นที่เตรียมมา เมื่อเดินทางไปถึง คณะผู้พิการได้รับบริการพิเศษจริงๆ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ชี้ให้ไปจอดรถในที่พิเศษ ไม่ต้องต่อคิว การขึ้นรถไฟฟ้าก็ทำได้ทันที ไม่ต้องเข้าคิว และทุกห้องและลิฟท์ที่จัดนิทรรศการจะมีคนที่ไปเที่ยว บริการหรือเปิดประตูให้ สรุปแล้วเป็นผู้พิการที่นี่ได้รับความสะดวกมากกว่าคนปกติทุกประการ

เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ก็รีบไปหาหลาน รายงานตัวว่า ตายายกลับมาแล้วนะ ต่อจากนั้นก็ได้ดำเนินชีวิตตามปกติ ตอนเย็นได้ไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องไฟฟ้า โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ได้เห็นทีวี และเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีความรู้สึกว่าราคาไม่แตกต่างจากบ้านเรา หรือที่นี่อาจจะสูงกว่าบ้านเราเล็กน้อย ยกเว้นในส่วนที่ลดราคา ตรงนั้นถูกมากๆ ทีวีขนาดจอ 32 นิ้ว ราคาเพียง 4,000-5,00 บาทเท่านั้น

ขณะนี้ เป็นเวลาตี 4 กว่า ซึ่งตื่นขึ้นมาเขียนตั้งแต่ตี 3 กว่าๆ ทั้งๆ ที่นอนตี 2 เวลาที่นี่ต้องนับย้อนไป 15 ชั่วโมง หรือถ้าที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 6 โมงเย็น ที่แอลเอ จะเป็นเวลาตี 4 ตามหลังเมืองไทย สรุปแล้ว วันเวลาที่เปลี่ยนยังทำให้การนอนและขับถ่ายยังไม่เข้าที่ กว่าจะเรียบร้อยก็คงต้องกลับซะแล้ว พบกันใหม่นะครับ