โรงงานยาสูบดันปลูก’กัญชง-กัญชา’เผยปรับโครงสร้างภาษีใหม่ดันบุหรี่แพง 93 บ.ต่อซอง

นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) หรือโรงงานยาสูบ เปิดเผยว่า ยสท.เตรียมแผนงานธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าให้สามารถพลิกกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม จากที่ผ่านมา ยสท.ได้รับผลกระทบจากโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ส่งผลให้กำไรในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือ 900 ล้านบาท ลดลงจาก ปี 2560 เคยมีกำไร 9.8 พันล้านบาท ถือว่ากำไรลดลงกว่า 20 เท่าตัว โดยหนึ่งในแผนงานที่ยสท.วางแนวทางไว้คือ การพัฒนากัญชง และกัญชาในเชิงการแพทย์ ซึ่งในส่วนของกัญชงนั้นอยู่ระหว่างการทดลองปลูก ส่วนกัญชา ทางยสท.ขออนุญาตไปยังกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ปี 2559 ขณะนี้กำลังรอดูว่ารัฐจะมีการเปิดเสรีกัญชาหรือไม่

“ในการพัฒนากัญชงและกัญชาในเชิงการแพทย์ ต้องมีการควบคุมการปลูก และมีวัตถุประสงค์เพื่อการแพทย์เท่านั้น กัญชงสามารถนำมาทำเครื่องสำอาง คอลาเจน เป็นผลิตผลมูลค่าสูง โดยยสท.จะสนับสนันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือตั้งแต่ปลูกจนแปรรูปเป็นสินค้าทางการแพทย์ โดยตรงนี้ถ้าทำได้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ยสท.และ ทำให้เกษตรกรปลูกยาสูบมีรายได้เพิ่มขึ้น จากขณะนี้ชาวไร่กำลังได้รับผลกระทบจากการขายบุหรี่ลดลง”นางสาวดาวน้อย กล่าว

นางสาวดาวน้อยกล่าวว่า ในปีนี้คาดว่ากำไรของโรงงานยาสูบลดลงเหลือ 400-500 ล้านบาท และผลจากการปรับขึ้นภาษีรอบใหม่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 นี้คาดว่าทำให้ตลาดยาสูบภาพรวมลดเหลือเพียง 1.9-2 หมื่นล้านมวน จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านมวน ส่วนหนึ่งคนสูบหันไปสูบยาเส้น บุหรี่เถื่อน และบุหรี่ไฟฟ้า โดยราคาบุหรี่หลังจากปรับโครงสร้างภาษีรอบใหม่จะไม่ต่ำกว่า 93 บาทต่อซอง จากขณะนี้ราคาต่ำสุดของยสท.ขายอยู่ 55 บาทต่อซอง ซึ่งจากฐานภาษีใหม่ทำให้ภาษีของยาสูบอยู่ที่ 78 บาทต่อซอง ทำให้ยาสูบราคาถูกสุดต้องปรับเพิ่มขึ้น 33 บาทต่อซอง

นางสาวดาวน้อยกล่าวว่า จากการผลิตที่ลดลง ยสท.อยู่ระหว่างเจรจาขายใบยาสูบ โดยสต็อคที่ยสท.มีอยู่สามารถใช้ถึงปี 2566 ดังนั้นยสท.จำเป็นต้องระบายสต็อต แต่ติดปัญหาว่าใบยาที่รับซื้อนั้นมีต้นทุนจากการให้ราคาเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 24 บาทต่อกิโลกรัม จึงทำให้การขายไม่ง่ายนัก นอกจากนี้ยสท.อยู่ระหว่างการออกผลิตภัณฑ์ยาเส้น เพื่อรองรับตลาดยาเส้นที่โตขึ้น โดยขณะนี้รอผลผลิตของใบยาสูบฤดูกาลใหม่ในเดือนเมษายน เพื่อผลิตเป็นยาเส้นออกจำหน่าย คาดว่าจะทันกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เดือนตุลาคม

นางสาวดาวน้อยกล่าวว่า อย่างไรก็ตามในช่วงปีนี้สิ่งที่ยสท.กำลังพยายามทำคือ การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ สำเร็จแล้วในประเทศลาว และอยู่ระหว่างการดำเนินการในประเทศเวียดนาม คาดว่าอีก 3 เดือนจะมีการวางขายบุหรี่ของยสท.ในตลาดประเทศเวียดนามได้

“ขณะนี้ตลาดยาสูบในไทยลดลง ซึ่งโครงสร้างภาษีใหม่ทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้น ส่วนแบ่งตลาดของยสท.ลดลงเหลือ 50% จากขณะนี้มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 60% ดังนั้นยสท.ต้องเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองในอนาคต โดยไม่ได้หวังว่าจะมีกำไรในระดับ 8-9 พันล้านบาทเหมือนในอดีต แค่กำไรกลับมาระดับ 2-3 พันล้านบาทก็ดีแล้ว”นางสาวดาวน้อยกล่าว