ลอสแองเจลิส (ตอนที่ 11)

เมื่อวาน รับทราบจากลูกสาวว่ามียาปฏิชีวนะเก็บอยู่ แล้วยังมียาแก้ไอและแก้แพ้อยู่ด้วย เป็นยาที่เหลือจาก แม่ (ภรรยาผม) ที่ป่วยแล้วไปโรงพยาบาลลานนามาร่วม 2 ปีผ่านมา แต่ยายังไม่หมดอายุ จึงเอามากิน ทำให้วันนี้ดีขึ้น แต่ยังไอและมีน้ำมูกมากอยู่ คิดว่าคงจะต้องกินต่ออีก 1 วัน

หลังจากกินยาปฏิชีวนะและยาแก้แพ้เป็นวันที่ 2 ดูอาการดีขึ้น เพียงแต่ยังไอเรื้อรังและน้ำมูกไหลไม่หยุด ยังไม่ทุเลา ถ้าเป็นบ้านที่กรุงเทพฯ คงไม่ได้สนใจ อยากเป็นอะไรก็เป็นไป

แต่ที่นี่ นับอีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดกลับแล้ว ถ้าไม่หายก็ไม่ได้อุ้ม หรือเล่นใกล้ชิดกับหลาน ซึ่งเสียดายมาก เพราะนานๆ มาได้สักครั้งหนึ่ง กลับไปครั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าจะได้มาอีกหรือไม่ และเมื่อไร

กล่าวถึงการสร้างตึกที่นี่บ้าง เท่าที่สังเกตดู จะแบ่งออกเป็นภายนอกและภายใน สำหรับภายนอกที่เป็นหลังคาระเบียง หลังคาที่จอดรถ เห็นว่า เขาฉาบปูนแต่งใต้พื้นชั้นบน ไม่ต้องมีฝ้าเพดาน ใต้พื้นเพดานมีท่อต่างๆ เดินไว้ เช่น ท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ จากห้องชั้นบนเป็นท่อลอย ไม่มีฝ้าเพดานปิด จึงซ่อมแซมได้ง่าย

แต่ดูแล้วท่อทั้งหลายไม่ทราบว่าทำจากวัสดุอะไร สีดำๆ ไม่ทราบว่าเป็น พีวีซี แบบเราหรือไม่ น่าจะอยู่ได้หลายสิบปี ไม่มีรั่ว เพราะดูคงทนแน่นหนามาก ประตูรั้วก็ดูแน่นหนา ตัวประตูใหญ่ปิดเปิด ใช้ remote ตามสมัยนิยม

สำหรับภายในอาคารมีฝ้าเพดาน เข้าใจว่าสายไฟทั้งหลายอยู่ภายในฝ้า แต่ฝ้าเพดานมิดชิด ปิดแนบเนียนทุกช่องทาง ไม่ต้องระบายอากาศ จึงไม่มีตัวอะไรที่จะเข้าไปอยู่ได้

สำหรับก๊อกน้ำ ไม่ว่าในห้องน้ำหรือในครัว รวมทั้งฝักบัวด้วย ดูแน่นหนา ไม่เสียง่าย ถ้าเป็นที่บ้านเรา ถ้าจะใช้สิ่งเหล่านี้คงต้องเป็นบ้านเศรษฐี เพราะราคาสูง ที่นี่มีอากาศแห้ง เย็น ลมไม่ค่อยมี จึงไม่มีฝุ่น ไม่มีแมลง ตึกรามบ้านช่องที่ทาสีไว้ก็อยู่ได้นาน ที่ทิ้งขยะก็ดูสะอาด เป็นที่เป็นทาง ไม่มีการใส่ถุงมากองไว้ริมทางให้ดูเฉอะแฉะเน่าเหม็น เพราะมีถังขยะส่วนรวมขนาดใหญ่วางไว้ในที่กำหนด ไม่ต้องนำขยะมาไว้ริมทาง ถึงเวลารถขยะก็มารับขยะ ณ สถานที่วางถังขยะโดยตรง

ที่เขาทำได้ดี คงเป็นเพราะที่นี่พื้นที่กว้างขวาง ประชากรไม่หนาแน่น และทุกคนอยู่ในระเบียบวินัย และมีค่านิยมที่ดี แต่ถ้าจะดูส่วนลึกๆ แล้ว คนก็เหมือนกันทั่วโลก คือมีทั้ง ทำดีและทำไม่ดี เท่าที่เล่าให้อ่านมานี้ต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่าในสิ่งที่ดีที่นี่นั้น เนื่องมาจากเหตุผลต่างๆ เช่น เรื่องดินฟ้าอากาศที่หนาวเย็น อำนวยให้คนต้องทำงาน และการยึดมั่นในกฎระเบียบ ไม่มียกเว้น

คนที่มีอภิสิทธิ์คือคนพิการ คนแก่ (มากๆ) และเด็ก เพราะการละเมิดกฎระเบียบในสมัยก่อนคือหายนะ สมัยคาวบอย ถูกยิงตายเอาง่ายๆ แต่ในเรื่องความคิดทางมนุษยธรรม ความสงสารนั้นเหมือนกันทุกแห่งทั่วโลก

เมื่อวานนี้ที่เราไปกินไอศกรีม Baskin Robin กัน ไอศกรีมเป็นของโปรดของผมอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังเด็กๆ ถ้าเทียบกับค่าของเงินแล้ว ราคาไอศกรีมที่นี่ไม่แพงเหมือนที่กรุงเทพฯ คงเป็นร้านไอศกรีมท้องถิ่น เปิดร้านที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเป็นศูนย์การค้า ไม่ต้องเสียค่า franchise และดูขายดี มีลูกค้าเยอะ

แต่ที่จะเล่าคือ เห็นฝรั่งผู้ชายแก่ๆ ตัวใหญ่ อายุถ้าจะเทียบกับคนไทยน่าจะเหยียบเกือบๆ 90 ปีแล้ว เดินถือไม้เท้า กระย่องกระแย่งมาคนเดียว มาถึงก็สั่งไอศกรีม นั่งกินอยู่คนเดียวสักพักใหญ่ๆ แล้วก็กลับ คิดว่าคงอยู่คนเดียว ทำอะไรๆ ด้วยตัวคนเดียว เราเห็นรู้สึกแปลก และไม่อยากจะเป็นแบบนี้

แต่นี่อาจจะเป็นวิถีชีวิตของคนที่เป็นฝรั่ง เขามีอิสระที่ได้อยู่โดดเดี่ยว ตายาย พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไป ก็เหลือคนเดียว ไม่ยอมไปอยู่กับลูกหลาน คุณตาซึ่งชอบไอศกรีมมากๆ อาจจะมีความสุขในชีวิตของเขาอยู่ แต่เราไปสงสารเขาเอง เพราะไม่คุ้นเคย

วันที่เขียนอยู่นี้ เป็นวันพุธที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งเหลืออีก 7 วันเท่านั้น ก็ต้องกลับบ้าน สิ้นสุดวันคืน กับหลานๆ ทั้ง 3 คน กลับไปก็ต้องคอยดูรูปทางไลน์และเฟซบุ๊กต่อ เวลาเดินเร็วมาก ขออย่าให้เร็วจนเราต้องเดินกระย่องกระแย่งไปกินไอศกรีมคนเดียว แล้วจึงพบกับหลานๆ เหมือนคุณตาที่เล่าข้างบนนี้

เมื่อตะกี๊นี้อากาศเริ่มเย็น จึงถอดเสื้อที่ใส่ตัวเดียวออก เพื่อจะใส่เสื้อในอีกตัว พอถอดแล้วก็ใส่เสื้อที่ถอดกลับคืน แล้วขำตัวเอง ก็เราจะใส่เสื้อในนี่นา ต้องถอดใหม่อีกครั้ง แล้วใส่เสื้อใน เปิดคอมก็เหมือนกัน ดันไปปิด ยังไม่ทำอะไรเลย ต้องเปิดใหม่อีกครั้ง เฮ้อ! เป็นคนแก่ หลงลืม เบื่อจัง

จากบู๊ คนเคยหนุ่ม

(อ่านต่อฉบับหน้า)