ชีวิตเหยิมเหยิม 12 พอกินสำหรับกวีคนจร

เขาบอกว่าเขาเป็นนักเดินทาง

ทันทีที่เขานั่งลงเราก็ถามเขาว่า เขามาจากไหน เขาบอกว่า บ้านเขาอยู่อยุธยา เขาเดินเท้ารอนแรมมา บางช่วงก็โบกรถ จนมาถึงแม่สาย มีคนบริจาครถจักรยานให้คันหนึ่ง


โอ…มาจากอยุธยาหรือเป็นพวกเดียวกับพี่หมื่นและท่านออกญา เขามาจากอดีต ฮาฮา ละครดังแห่งยุคสมัยที่ออกอากาศอยู่ตอนนี้ นางเอกหลงกลับไปอยู่ในอดีต

เขาเป็นผู้ชายตัวผอมบาง ดูไม่แข็งแรง ผมสั้นเกรียน จักรยานเก่า ไม่ได้เหมาะสมสำหรับการปั่นทางไกลเลย ทุกอย่างของเขาล้วนเก่าและขมุกขมัว

“กางเต๊นท์นอนบนร้านได้เลย” ฉันบอก เขามีเต๊นท์เล็กๆ เก่าๆ มาด้วย

ในเฟซบุ๊กเขาใช้ชื่อว่า โบ๊ต ที่แปลว่าเรือ “เมื่อก่อนผมอยู่ในเรือ ผมอยู่ในเรือมาก่อน  ชื่อจริงของเขา โสรส ชื่อเล่น จาก เมื่อชวนคุยเรื่องหนังสือเขาก็พอจะรู้จักหนังสือและนักเขียนอยู่บ้าง เขาบอกว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยทางใต้ได้หนึ่งปี

ฉันไม่รู้จักเขาและก็ไม่เคยคุยกับเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ที่รับเขาให้มาที่สวนก็เพราะเขาบอกว่า เขาจะไปบ้านพี่กวีคนหนึ่งที่เขานับถือ แต่พี่คนนั้นไม่รับเขา และเขารู้จักสวนเหยิมเหยิมจากการเล่าของพี่กวีคนนั้น และเคยอ่านหนังสือของฉันมาบ้าง และฉันมักจะให้ค่าของคนเขียนหนังสือ นี่เป็นข้อด้อยของฉันเลย เพราะฉันผิดหวังกับคนพวกนี้มามากกว่าสองคนแล้ว ผิดหวังที่คิดว่าเขาจะมีจิตสำนึกที่ดี เห็นค่าของคนเท่ากัน

เขากินมังสวิรัติและทำอาหารกินเอง มีกล้วยติดตัวมาสามลูก น้ำเต้าหู้สามถุง เย็นนั้นเขาไปตัดปลีกล้วยมาแกงใส่ใบอะไรต่ออะไรที่เก็บได้ในสวน น้ำแกงสีขาวขุ่นน่าจะมาจากยางหัวปลีเพราะเขาไม่ได้ใส่กะทิ

ฉันรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยอาหารในสวนเหยิมเหยิมก็เลี้ยงกวีคนจรได้จริงๆ มื้อต่อมาเขาก็เก็บของในสวนนั่นแหละกิน ฉันไม่ซื้ออะไรให้เขานอกจากข้าวสารที่มีอยู่แล้ว เพื่อดูว่าเขาอยู่ได้ด้วยอาหารจากสวนเหยิมไหม

เขาตื่นเช้าและเอากีตาร์ออกไปเล่นที่ทุ่งนา ทำเหมือนพระเอกมิวสิควิดีโอ ฉันคิดว่า ฉันควรจะพูดกับเขาถึงสิ่งที่นักเดินทางไม่ควรทำ คือการหยิบของคนอื่นไปใช้โดยไม่ถามก่อน ฉันคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของฉันที่จะบอกเขาเมื่อถึงวันที่เขาจะกลับว่า สิ่งที่นักเดินทางควรทำและไม่ควรทำ เพราะมันจะเป็นผลดีสำหรับเขา

ของบางอย่างเป็นของรักของหวง เป็นของสำคัญมาก เช่น กีตาร์ตัวนี้ เป็นของคนรักที่ตายจาก ไม่ใช่ใครก็หยิบไปใช้ได้ หรือหยิบไปใช้โดยไม่ขออนุญาต ใช้แล้ววางไว้หลังบ้านไม่เอาเข้ามาแสดงว่าไม่ใช่คนเล่นกีตาร์จริง

เราได้คุยกันอีกครั้งในช่วงที่ฉันเก็บกุหลาบ เขาเดินตาม เขาบอกว่า พี่น่าจะทำน้ำเต้าหู้กลิ่นกุหลาบ ฉันบอกเขาว่าเต้าหู้มีกลิ่นถั่วเหลืองที่แรงจะกลบกลิ่นกุหลาบหมด ธรรมดาเต้าหู้จะใช้ใบเตยซึ่งน่าจะเหมาะสมอยู่แล้ว การทดลองบางอย่างจะเสียเวลาเปล่าๆ

ในช่วงทำอาหาร เขาถามฉันเกี่ยวกับเรื่องการเขียนนิยายว่า พี่ต้องสร้างโครงเรื่องก่อนไหม ฉันบอกเขาว่าคิดและเขียนคร่าวๆ บางทีก็เขียนแบบบันทึกข้อมูลไว้และถามเขา อยากเขียนนิยายหรือไง เขาตอบว่า ผมอยากเป็นกวีมากกว่า

“พี่ว่ากวีจะรับใช้อะไรได้บ้าง” เขาถาม

“รับใช้ตัวเองไง ให้มันรับใช้คนเขียนก่อนในแบบไหนก็ได้ เช่นรับใช้จิตใจ และรับใช้สังคม รับใช้สถานการณ์ เมื่อมีเรื่องร้ายๆ ในประเทศ เช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญแต่มันจะรับใช้อะไรไม่ได้เลยถ้างานนั้นไม่จริง”

“บทกวีเป็นตัวประกอบก็ไม่ได้นะ เรื่องสั้นมีภาพประกอบ นิยายมีภาพประกอบ น่าจะมีบทกวีประกอบ มีการเขียนที่ใช้บทกวีบ้างได้ไหม”

ฉันคิดว่า เขาติดรูปแบบการพูดแบบเท่าๆ ฉันจึงคร้านที่จะตอบ บทกวีจะมาประกอบอะไรได้อย่างไร บทกวีเท่าเทียมกับงานเขียนทุกประเภท บทกวีหนึ่งบทก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเรื่องสั้นหรือนิยาย

ฉันบอกเขาว่า กวี นักเขียน ศิลปิน นั้น อยู่ที่งานเท่านั้น หาใช้รูปแบบอื่นไม่ (หาใช่ทำอะไรแล้วคิดว่าเท่ๆ ชีวิตไม่มีเท่ไม่มีฟลุคสำหรับคนเขียนหนังสือมาแต่การทำงานเท่านั้น)

ยามเย็นเหยิมเหยิมมีปาร์ตี้เล็กๆ เชิญเขามาร่วมวงด้วย ลุงถามเขาว่า บ้านเขาอยู่ที่ไหน “ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเป็นของผม มีบ้านของแม่ก็ไม่ใช่ของผม ไปก็แค่ไปเยี่ยม”

“เสื้อผ้าทั้งหมดของคุณอยู่บนจักรยาน” ใครสักคนถามขึ้น

“ครับ มีเสื้อผ้าไม่กี่ตัว หนังสืออ่านแล้วก็ให้ห้องสมุดไม่มีหนังสือของตัวเอง หรือว่ามีก็ได้หนังสือนะ ในห้องสมุดทุกแห่งถือเป็นหนังสือของเรา”

“เออ…เดินทางแบบนี้เพื่ออะไร” เขาถูกถาม

“ไม่เพื่ออะไรเพื่อเดินทางเท่านั้น ผมเรียนการเดินทาง ยังเรียนไม่จบ”

“เบื่อ” เขาว่า

“เบื่ออะไร”

“เบื่อคนถามแบบนี้ เบื่อคนถามแล้วต้องตอบ”

อ้าว…เป็นการสนทนาปิดปลายที่ทำให้ผู้ถามปิดปากจบการสนทนา ซึ่งเขาอาจจะต้องการอย่างนั้นก็เป็นสิทธิของเขา

เขาเล่าว่า เขามักจะนอนตามเขียงนา เอาเต๊นท์กางไปเรื่อย ฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถ้าแวะไปที่ไหนที่มีคน ก็ต้องถูกถามคำถามเหล่านี้

“สิ่งที่เราทำได้คือให้คนที่มาที่นี่เขาได้อยู่อย่างสบาย มีความสุขตามสภาพ” ลุงพูดเลียนเสียงฉันในขณะที่เขาเดินออกไปหยิบอะไรสักอย่าง ลุงหัวเราะ เพราะฉันเคยพูดกับแกแบบนี้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วที่มีน้องผู้หญิงคนมาพักที่เหยิมและไม่สนใจใคร ไม่เสวนาพูดคุย

เขาถามฉันว่า จะเริ่มต้นจัดหนังสืออย่างไร ฉันบอกเขาว่า จัดให้เข้าหมวดหมู่ตามชั้นที่ติดเอาไว้ เช่นว่า บทกวี เรื่องสั้น สารคดี ความเรียง การเมือง วรรณคดี แล้วเขาก็รื้อทุกอย่างลงมา กองลงพื้น และไม่มีทีท่าว่าจะจัดเสร็จผ่านไปหนึ่งวัน

“สงสัยว่ายายจะต้องเหนื่อยกับการจัดหนังสือเองแล้ว” เพื่อนร่วมบ้านมาบอก

“อ้าว เพรียงสิ ฮา”

เพรียงหมายความว่า พลาดไปแล้ว ตัดสินใจผิดไปแล้ว หรือเสียรู้ไปแล้ว เป็นคำใต้   แล้วก็เป็นจริง ฉันต้องเข้าไปจัดหนังสือเองโดยเอาขึ้นไว้บนร้านไม้ไผ่ก่อน และเก็บกวาดจัดห้องสมุดให้เข้าที่เข้าทางก่อนทันทีจะรับแขกในตอนเย็น

เขาทำตัวรื่นเริงมาก ร้องเพลงสบายใจในขณะที่คนอื่นเริ่มไม่สบาย เขาทำตัวสบายเกินไป เขาหยิบอะไรกัดกินโดยไม่ต้องล้าง หั่นผักกับกระต่าย ซึ่งเป็นที่นั่งขูดมะพร้าวทั้งที่มีเขียง น้ำเต้าหู้ในตู้เย็นหยิบขึ้นมาใช้ฟันกัดถุงแล้วดูกกินทั้งที่มีแก้วมากมาย กินไม่หมดก็วางไว้ตรงไหนก็ได้ ฉันเริ่มไม่ขำแล้ว

โชคดีที่น้องผู้หญิงที่มาก่อนหน้านี้กลับไปก่อน นั่นเจ้าระเบียบมากจนเจ้าของบ้านและเพื่อนๆ อึดอัดไปตามๆ กัน เช่น ใครวางอะไรไม่เป็นที่ที่เธอวางไว้เธอจะส่งเสียงถามดังๆ ว่า มันอยู่ที่ไหน ใครมาสูบบุหรี่ใกล้ๆ เธอก็จะบอกว่าไปสูบที่อื่น ที่สูบบุหรี่อยู่หลังบ้าน และอยากจะให้แขกกลับเร็วๆ เพราะเธอจะกวาดบ้านแล้ว เธอไม่ประนีประนอมกับอะไรเลย ถ้าสิ่งไหนที่เธอไม่ต้องการเธอจะพูดห้วนๆ ว่า ไม่ ไม่เอา หนูไม่ชอบ

ฉันบอกเธอว่า บ้านฉันเป็นบ้านกึ่งสาธารณะ แรกคิดว่าจะให้เธอมาอยู่ด้วยนานๆ ถึงขั้นมีโครงการจะสร้างบ้านเล็กๆ เป็นสัดส่วน แต่เมื่อผ่านไปดูแล้วเธอไม่เหมาะสมกับที่นี่ เพราะยิ่งนานวันเธอยิ่งเหินห่างและดูว่าเธอเริ่มไร้สุข เธอเริ่มไม่พูดกับใครที่มาที่สวน

เช่น นอนเล่นในเปลเฉย หรือเขาปาร์ตี้กัน เธอเดินไปนั่งริมสระ เดินเล่นคนเดียวมืดค่ำ เริ่มเป็นห่วงว่า เธอจะตกน้ำตกท่าลงไป หรือเกิดอันตรายอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เราต้องกลับใต้ จึงให้เธอกลับไปก่อน ถ้าสองคนนี้มาเจอกัน…ไม่อยากคิด

เช้าวันต่อมาเราต้องออกเดินทางแต่เช้าทำธุระในเมือง

“เคยปลูกต้นไม้ไหม”

“ปลูกบนที่ดินของคนอื่น” เขาตอบ

“งั้นพรุ่งนี้ช่วยพี่ขุดต้นไม้ ขุดออกเพราะเราจะปรับพื้นที่ใหม่เพื่อขยายลานกิจกรรม แต่พี่ต้องไปธุระข้างนอก กลัวว่าเขาจะมาถมดินก่อนที่พี่จะกลับบ้าน กลัวต้นไม้ถูกถม”

“ครับครับ” เขารับคำหนักแน่นและพูดว่า ผมชอบทำงานอาสาสมัคร
และเราก็ออกจากบ้านมาทั้งวัน

“ไม่รู้ว่าการขุดต้นไม้ของเขาจะเป็นอย่างไร”

ฉันกังวลใจนิดๆ แต่เอาเถอะอย่างไรก็ยังดีกว่าให้ต้นไม้ถูกดิน
เราออกไปแต่เช้ากลับมาตอนมืด พบว่าเขากำลังรื้อหนังสืออยู่ เขาบอกว่า รื้อออกมาหมดแล้ว เช็ดเรียบร้อย มีแต่เก็บขึ้นชั้น ฉันรีบไปดูต้นไม้ปรากฏว่าเขาขุดใส่ถุงไว้เรียบร้อยพร้อมปลูก ไม่เป็นไรถือว่าผ่าน
ตลกร้ายกับชีวิต ปรากฏว่าดินที่จะถมไม่พอ พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้ปรับแล้ว ไม่มีดินมาถม เราต้องปลูกต้นไม้กลับเหมือนเดิม อะไรที่เราคิดว่าแน่ก็ไม่แน่ ลุงขุดบ่อบอกว่ามีดินพอจะถมที่ให้

เชิญกวีจรมากินข้าวพร้อมกันเพราะพรุ่งนี้เย็นก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว เราจะเดินทางกลับใต้ ส่วนเขาจะไปที่ไหน เขาบอกว่ายังไม่แน่ เขาผัดผักกับพริกบ่น เก็บข้างบ้านหลากหลายเท่าที่เก็บได้มาผัดรวมๆ กัน แต่ครั้งนี้ใส่พริกขี้หนูบ่นด้วย  ผักผัดพริกบ่นของกวีจร ดังนี้

หลังจากได้ผักมาครบแล้ว สารพัดผักที่หาได้ เขาใส่น้ำมันลงในกระทะ น้ำมันร้อนใส่พริกบ่นลงไปให้จามสนั่น แล้วราดซีอิ๊วขาวลงไปให้ได้กลิ่นไหม้นิดๆ แล้วใส่ผักที่หาได้ลงไป เติมซีอิ๊วขาวอีกครั้ง จานนี้ดูน่ากิน จึงนำเสนอไว้

เราขอบคุณเขา เพราะการมาของเขาทำให้เรารู้ว่า สวนเหยิมเหยิมมีพืชผักพอให้มีชีวิตรอดอย่างน้อยสี่วัน