ซื้อไอเดียนักวิจัย พัฒนาสมุนไพรเป็นเวชสำอาง โกอินเตอร์ ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ

ในจำนวนผลงานวิจัยของไทยที่มีจำนวนมาก ถูกหยิบไปต่อยอดให้เป็นรูปธรรมจากเจ้าของธุรกิจมากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในประเทศไทยมีนักวิจัยจำนวนหนึ่งที่มีผลงานขึ้นหิ้งแล้ว เลือกจะไม่เปิดเผยตัวเอง และทำงานอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ป้อนผลงานขึ้นสู่หิ้ง สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไทย

หนึ่งในนั้นอยู่ในกลุ่ม “เวชสำอาง” ซึ่งนักวิจัยไทยได้นำสมุนไพรไทยมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพเทียบเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่ขายในราคาคนไทย

 

ซื้อไอเดียนักวิจัย พัฒนาเป็นเวชสำอาง

หนึ่งในเจ้าของธุรกิจที่ขึ้นมาเป็นเจ้าของผลงานวิจัยด้านเวชสำอาง นั่นก็คือ คุณสุวรรณา มณีโชติช่วง หรือ คุณนา เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางภายใต้ชื่อ “อิส ดิ เฟนเซ่” (Is De’fence) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสมุนไพรไทย ผลิตโดยนักวิจัยชาวไทย ซึ่งคุณสุวรรณาร่วมกับทีมวิจัยชาวไทยผลิตเครื่องสำอางป้อนแบรนด์ชั้นนำ จนนำมาสู่การเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและจัดอยู่ในประเภทเวชสำอาง จนได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) โดยอัตโนมัติ โดยใช้ห้องแล็บของทีมวิจัยที่ได้มาตรฐาน เป็นจุดเริ่มต้นในการเริ่มดำเนินธุรกิจ

“ตัวครีม อีส ดิเฟนเซ่ มาจากตัวเองก่อน เพราะตัวเองมีปัญหาเรื่องผิวหน้า และเรื่องของฝ้าเยอะมาก จากเดิมเป็นคนที่ไม่ค่อยดูแลผิวหน้าสักเท่าไร แต่วันหนึ่ง มีกระ ฝ้า ขึ้นมาเต็มหน้า แล้วก็หาวิธีรักษาหลายทาง ในที่สุดก็แพ้สเตอรอยด์ ซึ่งเราไม่รู้ว่าครีมแต่ละชนิดอาจมีสารเคมีปนมาในเนื้อครีม เมื่อเกิดอาการแพ้ก็ต้องหยุดใช้ และต้องหาวิธีดูแลผิวหน้าจริงๆ สุดท้ายก็พูดคุยกับอาจารย์สอนกายวิภาค และตัดสินใจเรียนเรื่องกายวิภาคใบหน้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนวดหน้า การดูแลความสวยงามของใบหน้า”

คุณสุวรรณา อธิบายว่า ในการดูแลรักษาผิวหน้าให้ดี ต้องเข้าใจว่าอาการบางชนิดที่เกิดขึ้นบนผิวหน้ารักษาไม่หาย และต้องรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร เพราะการดูแลให้ผิวหน้าดี ขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าด้วย

ปี พ.ศ. 2559 คุณสุวรรณาเริ่มเรียนรู้เรื่องการนำสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบ เพื่อสกัดเอาสารบางชนิดที่มีคุณประโยชน์มาใช้ ปัญหาผิวหน้าที่ตัวเองพบจริงๆ คือ ฝ้า ซึ่งถือเป็นปัญหาผิวหน้าชนิดหนึ่งที่รุนแรงมากสำหรับผู้หญิง จึงขอให้อาจารย์สอนกายวิภาคท่านนั้นให้วิจัย ในที่สุดก็ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาชนิดหนึ่ง ซึ่งในการวิจัยใช้งบประมาณไปเกือบ 1 ล้านบาท

“ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาได้ก็นำมาจากสารที่สกัดมาจากสมุนไพรไทย เช่น เปลือกขมิ้น ชะเอมเทศ หม่อน เป็นต้น”

การเลือกทีมนักวิจัยที่ดีและห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน เปรียบเสมือนการติดกระดุมถูกทาง ไม่ต้องเสียเวลารื้อติดใหม่ ฉะนั้น จึงส่งผลให้รูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ อิส ดิ เฟนเซ่ ผ่านขั้นตอนในการขออนุญาตของกระทรวงสาธารณสุขมาได้ไม่ยาก แต่ขั้นตอนที่ยากต่อไปคือ การทำการตลาด ซึ่งเป็นโจทย์ที่หินสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะตลาดเวชสำอางที่มี “สมุนไพรไทย” เป็นจุดขาย

 

ใช้กลยุทธ์ “ความเชื่อ” สร้างยอดขาย

คุณสุวรรณาเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดวิ่งเข้าหาลูกค้า โดยอาศัยความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์ ซึ่งเรียกว่า “สปิริตชวล มาร์เก็ตติ้ง” แทนการใช้ “ดารา” หรือ “สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง” มาเป็นกลยุทธ์หลัก ด้วยเหตุผลที่ว่า การเริ่มเป็นน้องใหม่เข้าสู่ตลาดจะต้องประหยัดค่าใช้จ่าย การจ้างพรีเซ็นเตอร์ “ดารา” นั้น จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินการเริ่มต้น

กลยุทธ์การตลาดที่เน้นอาศัยพฤติกรรมของคนไทย ในเรื่องของความเชื่อ ทำให้เวชสำอางที่คุณสุวรรณามองว่ามีคู่แข่งจำนวนมากและทำตลาดยากนั้นเริ่มง่ายขึ้น เพราะเริ่มมีเสียงตอบรับจากลูกค้าในโซเชียลมีเดีย และการจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ในบางช่วง กับสินค้าบางรายการ ซึ่งนอกจากช่องทางจำหน่ายที่มีผ่านโซเชียลมีเดียแล้ว ทางคุณสุวรรณาต้องการเปิดรับตัวแทนจำหน่ายจากทั่วประเทศ เพื่อเจาะตลาดให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ คุณสุวรรณายังมีแผนนำผลิตภัณฑ์ออกงานแสดงสินค้าร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อขยายตลาด

ผู้สนใจสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ Error! Hyperlink reference not valid. หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ คุณสุวรรณา มณีโชติช่วง โทรศัพท์ (095) 965-4494