เผยแพร่ |
---|
สำหรับผู้ที่ชมชอบอาหารญี่ปุ่นสไตล์ ‘ปิ้ง – ย่าง‘ ถือเป็นหนึ่งในประเภทการรับประทานที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในบ้านเรา
แล่บางๆ แล้วบรรจงวางอาหารลงบนตะแกรง เมื่อกระทบกับความร้อนของเตาเกิดกลิ่นหอมชวนให้อยากลิ้มลองอย่างที่สุด ซึ่งนอกจากบรรดาเหล่าเนื้อชนิดต่างๆ อาหารซีฟู้ดที่เป็นเมนูยอดฮิตแล้ว ยังมีเห็ดอีกหนึ่งชนิดซึ่งได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยก็คือ ‘เห็ดออรินจิ’ อันเป็นที่ถูกปากของใครหลายคน โดยประเทศไทยสามารถปลูกและพัฒนาจนเป็นธุรกิจได้เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ก่อนจะเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญทำให้ บจก.ปิยะพรอินเตอร์เอโกรโลยี เจ้าของแบรนด์ ‘ปิยะพร’ ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นผู้นำด้านการผลิตเห็ดออรินจิในบ้านเราขณะนี้
ทำไม? ต้องเห็ดออรินจิ
จากกิจการเครื่องเย็นต่อยอดธุรกิจด้วยการปลูกเห็ดออรินจิ คุณสุวัฒก์ พิทักษ์เจริญวงศ์ ผู้จัดการ บจก.ปิยะพรอินเตอร์เอโกรโลยี ได้เผยว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 17 ปีก่อน จากการที่ ‘คุณปรีชา’ คุณพ่อผู้ก่อตั้งบริษัทได้ไปชมงานนิทรรศการเทคโนโลยีด้านการเกษตร เพื่อเลือกซื้อสินค้าเกษตรที่ไม่มีจำหน่ายในไทย ก่อนจะพบกับเห็ดออรินจิแล้วเกิดความสนใจ
“เห็ดออรินจิสมัยก่อนยังไม่มีการปลูกในประเทศไทย การนำเข้ามาจำหน่ายก็มีน้อยมาก คุณปรีชาจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจเพราะเห็ดมีรสชาติดี และยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย”
Knowledge First ก่อนสร้างธุรกิจ
ต่อมา คุณปรีชา ได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผู้จัดงานดังกล่าวว่า เห็ด ออรินจิสามารถปลูกในไทยได้หรือเปล่า และได้มีการศึกษาเพิ่มเติมว่าต้องปลูกอย่างไร มีต้นทุนด้านใดบ้าง ต้องทำโรงเรือนปลูกแบบไหน และควรปลูกในสภาพแวดล้อมแบบใด
“หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี จึงได้มีการคิดโปรเจคปลูกเห็ดออรินจิขึ้นมา โดยมีอาจารย์จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) คอยให้คำปรึกษา เมื่อมีความรู้มากพอ บริษัทก็มีความมั่นใจว่าสามารถปลูกเห็ดออรินจิในไทยได้ แต่ต้องสร้างโรงเรือนเพื่อซัพพอร์ตการปลูกเห็ดชนิดนี้”
คุณสุวัฒก์ ได้เล่าเพิ่มเติมว่า บจก.ปิยะพรฯ จึงเริ่มโครงการด้วยการใช้พื้นที่ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สร้างโรงเรือนขึ้นโดยสามารถปลูกเห็ดได้ประมาณ 200-300 กิโลกรัม ช่วงปี 2546 ซึ่งการปลูกช่วงนั้นค่อนข้างมีอุปสรรค เพราะเห็ดออรินจิไม่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา จึงต้องมีการปรับอุณหภูมิ-ความชื้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม
ช่วงระยะเวลา 1-5 ปีแรก ผลผลิตค่อนข้างต่ำกว่าเป้าหมายพอสมควร จึงมีการหาข้อมูลเพิ่มเติม หาสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้แมตชิ่ง สามารถปลูกได้ในห้องที่มีสภาพความดัน-ความชื้นต่างๆ รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิ หลังจากปีที่ 6 จึงเริ่มประสบผลสำเร็จ จากผลผลิต 300-500 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1 ตันต่อโรงเรือน ขณะนั้นโรงเรือนมีประมาณ 10 ห้อง ผลผลิตต่อห้องประมาณ 100 กิโลกรัม
ทำอย่างไร? ให้เห็ดออรินจิ Made in Thailand ติดตลาด
คุณสุวัฒก์ เล่าว่า ช่วงเริ่มปลูกเห็ดออรินจิใหม่ๆ สมัยนั้นการใช้อินเตอร์เน็ต โซเชียล มีเดียยังมีไม่มากเช่นในปัจจุบัน ดังนั้น บริษัทจึงใช้กลยุทธ์การตลาดด้วยวิธี ‘ไดเรคท์มาร์เก็ตติ้ง’ ก็คือ
- ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่นำเห็ดออรินจิไปเป็นเมนูอาหาร
- การค้าส่ง เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง
“บริษัทไดเรคท์กลุ่มลูกค้าหลักซึ่งก็คือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ต้องการเห็ดออรินจิก่อน เมื่อสร้างการรับรู้ มีคนได้รับประทาน และมีสื่อบางสำนักเมื่อได้ลิ้มลองเห็ดออรินจิก็ติดต่อเข้ามา เพื่อสอบถามว่าสามารถผลิตในไทยได้แล้วหรือ เพราะสมัยก่อนยังต้องนำเข้า หลังจากนั้นก็มีมาร์เก็ตแชนเนลติดต่อเข้ามา เพื่อนำสินค้าของ บจก.ปิยะพรฯ จัดจำหน่ายตามร้านอาหารที่มีเห็ดออรินจิอยู่ในเมนู”
เห็ดออรินจิแบรนด์ ‘ปิยะพร’ ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการ เนื่องจากการปลูกในไทยเมื่อปี 2547 สามารถช่วยลดต้นทุนร้านอาหารได้ หากนำเข้าจากต่างประเทศราคาจะค่อนข้างสูงกว่า เช่น หากเห็ดออรินจิของ บจก.ปิยะพรฯ จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 400 บาท การนำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาประมาณ 500-1,000 บาทเลยทีเดียว
ควบคุม-ดูแลคุณภาพมาตรฐานอย่างไร?
สำหรับเห็ดออรินจิที่ บจก.ปิยะพรฯ เริ่มต้นนำมาปลูกในไทย คุณสุวัฒก์ เผยว่า เป็นสายพันธุ์มาจากสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อนำมาปลูกในสภาพอากาศประเทศไทย ด้วยห้องควบคุมความเย็น แม้จะปลูกได้แต่ก็ยังไม่แมตช์กันร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงมีการนำเข้าสายพันธุ์ซึ่งมีการดัดแปลงในเขตเอเชียแล้ว เช่น จากประเทศเกาหลี หรือญี่ปุ่น แล้วบริษัทนำมาปรับปรุงสายพันธุ์เพิ่มเติมเพื่อให้แมตชิ่งกับสภาพอากาศบ้านเรา แต่ยังคงคุณภาพเส้นใยของเห็ด
“‘เห็ดนางฟ้าภูฐาน’ ซึ่งเป็นอีกชนิดที่ บจก.ปิยะพรฯ ได้ปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อให้ได้ผลิตผลคุณภาพดี ไม่มีแมลงไปวางไข่ในก้านของดอกเห็ด ด้วยการปลูกในโรงเรือนปิด และคัดเลือกสายพันธุ์เห็ดดีที่สุดที่สามารถอยู่ในห้องเย็นได้ โดยเท็กเจอร์จะค่อนข้างกรอบรสชาติดี ขณะนี้บริษัทมีโรงเรือนสำหรับปลูกเห็ดทั้งหมดจำนวน 30 ห้อง แบ่งเป็นเห็ดออรินจิจำนวน 20 ห้อง ให้ผลผลิต 2 ตันต่อวัน ส่วนเห็ดนางฟ้าภูฐานสามารถผลิตได้ 1 ตันต่อวัน”
ทิศทาง ‘ตลาดเห็ด’ ในปัจจุบัน
สำหรับตลาดเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้น คุณสุวัฒก์ ให้ความเห็นว่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลาดค่อนข้างมีดีมานด์ ซัพพลายพอสมควร ทำให้สามารถจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี ส่วนตลาดเห็ดออรินจิมีแนวโน้มคงที่เพราะว่าคนรู้จักค่อนข้างเยอะแล้ว โดยในประเทศไทยคาดว่ามูลค่าตลาดประมาณ 200-300 ล้านบาท ต่อปี
‘เห็ดออร์แกนิก’ เปิดตลาดในต่างประเทศ
ในเรื่องนี้ คุณสุวัฒก์ ให้ความรู้ว่า การรับประทานเห็ดออรินจิโดยทั่วไป คือการนำไปแล่แล้วปิ้งหรือย่าง บริษัทจึงได้มีการพัฒนาสินค้าออกมาเพิ่มเติม เช่น เห็ดออรินจิมีดอกขนาดเล็กเพื่อนำไปทำสุกี้ หรือการนำไปทำเป็นขนมขบเคี้ยวหรือกลุ่มสแน็ก เป็นต้น
“เราแยกเห็ดออรินจิออกเป็น 4 เซกเมนต์ชัดเจนคือ 1. กลุ่มปิ้ง-ย่าง 2. กลุ่มสุกี้ 3. กลุ่มสแน็ก และ 4. กลุ่มนำไปทำเป็นอาหารอย่างเช่น ข้าวแกง”การที่เห็ดออรินจิจะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด บจก.ปิยะพรฯ จึงได้ทำงานร่วมกับร้านอาหารเพื่อให้ทราบถึงสเปกต่างๆ ของเห็ดที่ลูกค้าต้องการ จากนั้นบริษัทก็จะผลิตให้ได้ตามนั้นบางครั้งมีออเดอร์ปลูกเห็ดพิงก์ออยสเตอร์ มัชรูม หรือเห็ดนางฟ้าสีชมพู เพื่อนำมาสกัดเป็นยาเกี่ยวกับคอสเมติก บำรุงผิวหน้า ซึ่งหากเป็นเรื่องของเห็ดออรินจิหรือเห็ดนางฟ้า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารอบด้าน
ซึ่งนอกจากการจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังมีการส่งออกไปต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว รวมถึงเยอรมนี เพราะมาตรฐานที่บริษัทผลิตคือออร์แกนิกเกือบ 100% ตามมาตรฐาน GAP ของประเทศไทย
เชื่อมระบบโรงเรือนด้วยเทคโนโลยี IoT
คุณสุวัฒก์ กล่าวว่า สำหรับระบบการจัดการภายในโรงเรือนมีการติดตั้งระบบ Internet of Things (IoT) ซึ่งมีการใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิ-ความชื้นอัตโนมัติ เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด และเมื่อปี 2562 บริษัทได้มีการนำแผงโซลาร์เซลล์มาใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 700-1,500 กิโลวัตต์ต่อวัน
“ในอนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยี CCTV ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น แมตชิ่งทั้ง 3 ลิงก์เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณเห็ดให้มีคุณภาพมากที่สุด และช่วยในการเลือกเก็บเห็ดช่วงที่มีคุณภาพมากที่สุด”
ปรับขนาด ราคา และแตกไลน์ตลาด ลดผลกระทบช่วงโควิด-19
คุณสุวัฒก์ เปิดเผยว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อยอดขายกลุ่มโมเดิร์นเทรดประมาณ 30% เพราะมีสินค้าที่บริษัทส่งให้แบรนด์หลักตามห้างสรรพสินค้า เมื่อเกิดผลกระทบจึงมีการแก้ปัญหาด้วยการเซ็ตสินค้าให้มีขนาดเล็กลง
“ปกติขายขนาด 1 กิโลกรัมต่อถุง ก็ปรับมาขาย 500 กรัม หรือขนาด 200 กรัมก็ปรับมาขาย 100 กรัม เพื่อให้ผู้บริโภคซื้อง่ายขึ้นในราคาถูกลง สามารถซื้อรับประทานคนเดียวได้เหมาะกับคนที่อยู่คอนโดฯ เป็นต้น ซึ่งตัวที่ถูกเซ็ตขนาดจะอยู่ในกลุ่มขายในซูเปอร์มาร์เก็ต”
นอกจากนี้ ยังมีการขายออนไลน์แต่มีในส่วนของกลุ่มที่นำเห็ดไปแปรรูป เช่น เห็ดหยอง ซึ่งตลาดนี้มีแนวโน้มเติบโต เพราะช่วงโควิด-19 คนอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ โดยบริษัทมีการขยายแบรนย์สินค้าลูกชื่อแบรนด์ ‘มัชทีนี่’ ซึ่งเป็นรูปแบบเห็ดออรินจิ ทอดโดยระบบสุญญากาศในน้ำมันรำข้าว มี 3 รสชาติ สามารถสั่งไปรับประทานเป็นสแน็ก หรือคลุกกับข้าวได้ และมีการเปิดรับตัวแทนจำหน่าย 1 ตลาด 1 ตัวแทน
ส่วนแพลนในอนาคต บจก.ปิยะพรฯ จะมีผลิตภัณฑ์จากเห็ดนางฟ้าสีชมพู และเห็ดนางฟ้าสีทอง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มสกัดบำรุงเพื่อสุขภาพ โดยจะผลิตเป็นชนิดผงเพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ ได้ต่อยอดธุรกิจจากการจำหน่ายเห็ดออรินจิสด เพราะกระแสในปัจจุบันผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นแนวคิดธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ หากสังเกตแล้วนำมาเป็นความคิดตั้งต้นหรือนำไปประยุกต์เข้ากับธุรกิจตัวเอง ก็อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางต่อยอดธุรกิจจนประสบความสำเร็จได้ดังเช่น บจก.ปิยะพรอินเตอร์เอโกรโลยี เจ้าของแบรนด์เห็ดออรินจิ ‘ปิยะพร’หากผู้อ่านท่านใดสนใจสินค้าและผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อผ่านช่องทาง www.pypmushroom.com หรือ 086-573-3636, 086-366-7800
Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน 1333