รู้จัก “Singapore Crawfish” แฟรนไชส์เพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช ตัวช่วยเพิ่มรายได้-สร้างอาชีพเกษตรกรไทย

หากพูดถึงสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่มาแรงในยุคนี้ คงไม่มีใครไม่นึกถึง กุ้งเครย์ฟิช หรือ กุ้งก้ามแดง หรือที่ทุกคนจะรู้จักกันในชื่อ กุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดและมีความน่าสนใจเหมาะแก่การลงทุน ทั้งยังมีอัตราการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นกุ้งที่เชฟทั่วโลกให้การยอมรับว่า มีรสชาติอร่อย รูปร่างสีสันสวยงาม และมีเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อปูผสมเนื้อกั้ง จนร้านอาหารทั่วโลกต้องมีเมนูที่ใช้กุ้งชนิดนี้เสิร์ฟกันทั่วโลกเลยทีเดียว

และเพื่อให้การเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชเติบโตเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษยชาติ Singapore Crawfish ฟาร์มกุ้งเครย์ฟิชแห่งเดียวในสิงคโปร์และเป็นผู้บุกเบิกโซลูชันการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันถือเป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการดำเนินงานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้ง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างพันธมิตรกับเกษตรกรในประเทศเหล่านี้ เพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชให้เกิดความยั่งยืน

“กุ้งเครย์ฟิช” โซลูชันใหม่แก้ปัญหาภาวะขาดแคลนอาหาร 

Singapore Crawfish ถือเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์แห่งเดียวในโลกที่เพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชด้วยความยั่งยืน ซึ่งฟาร์มแรกของบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยฟาร์มแห่งนี้เป็นฟาร์มที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชชุดแรก ในปัจจุบัน Singapore Crawfish ได้เติบโตเป็นบริษัทเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชั้นนำในภูมิภาค โดยมีความยั่งยืนเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

ไม่เพียงเท่านั้น Singapore Crawfish ยังมีความมุ่งมั่นที่จะให้ลูกค้าได้รับกุ้งเครย์ฟิชที่สดใหม่ที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการจัดหากุ้งเครย์ฟิช รวมถึงส่งเสริมให้กุ้งเครย์ฟิชนั้นเติบโตเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญในวัฒนธรรมอาหารทั่วทวีปเอเชีย ผ่านกระบวนการผลิตที่มีความรับผิดชอบและยั่งยืนที่สุด

นอกจากนี้ พันธกิจหลักของ Singapore Crawfish ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การช่วยลดความยากจนทางอาหารในโลก โดยใช้กุ้งเครย์ฟิชเป็นแหล่งโปรตีนที่มีประโยชน์และเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งนับแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2561 Singapore Crawfish ก็มุ่งมั่นที่จะค้นหานวัตกรรมในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากวิธีเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชแบบดั้งเดิมมาตลอด และยังคงมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมด้วยการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และมีกำไร เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในโลก

ทำไมการเพาะเลี้ยงกุ้งแบบยั่งยืนจึงมีความสำคัญ

การเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีความยั่งยืนถือเป็นหนึ่งในการรักษาความมั่นคงทางอาหาร ทั้งการอนุรักษ์ระบบนิเวศ และการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ในขณะเดียวกันยังช่วยลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย โดยมีเหตุผลต่างๆ ดังนี้

  • ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม : การเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในลักษณะที่ยั่งยืนส่วนใหญ่นั้น จะมีการปฏิบัติตามหลักการที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งรวมถึงการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ และการจัดการทรัพยากรอย่างระมัดระวัง ยิ่งไปกว่านั้น การหลีกเลี่ยงการประมงเกินขีดจำกัดและการทำลายระบบนิเวศ สามารถช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและคงรักษาสภาพแหล่งน้ำในบริเวณโดยรอบได้
  • สามารถส่งเสริมเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก : การเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชอย่างยั่งยืนสามารถส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นได้โดยการสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ยังช่วยรองรับทั้งความต้องการกุ้งเครย์ฟิชในระดับท้องถิ่นและระดับโลกอีกด้วย
  • เกิดความมั่นคงทางอาหาร : ด้วยจำนวนประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อปริมาณปลาธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชที่เลี้ยงแบบยั่งยืนสามารถช่วยตอบสนองความต้องการโปรตีนจากอาหารทะเลได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการจับตามธรรมชาติ
  • ลดผลกระทบต่อประชากรสัตว์ป่า : การส่งเสริมแนวทางการทำฟาร์มแบบยั่งยืน จะช่วยรักษาจำนวน และลดผลกระทบต่อประชากรกุ้งเครย์ฟิชธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนของระบบนิเวศ
  • การปรับปรุงคุณภาพน้ำ : ระบบการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีการจัดการอย่างเหมาะสมจำเป็นต้องมีวิธีการรักษาคุณภาพน้ำที่ดีควบคู่ไปด้วย ซึ่งระบบเหล่านี้จะมีการกรองและจัดการของเสียอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดผลดีกับระบบนิเวศในน้ำ
เทคนิคการปลูกพืชเชิงผสมผสาน

ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ที่อัดแน่นเทคนิค-เทคโนโลยีสุดล้ำ

เพื่อให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน Singapore Crawfish จึงได้คิดค้นแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรดังต่อไปนี้

  • เทคนิคการปลูกพืชเชิงผสมผสาน : ด้วยการบูรณาการการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชและปลา เข้ากับนาข้าวแบบดั้งเดิมได้อย่างราบรื่น ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มให้เกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด ลดการพึ่งพายาฆ่าแมลง และกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชข้าว เกษตรกรที่ใช้เทคนิคนี้จะสามารถเพิ่มรายได้ถึง 400% และใช้ปั๊ม อุปกรณ์น้อยลงสำหรับการชลประทานและการเติมอากาศในบ่อปลา Singapore Crawfish ยินดีที่จะซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่เกษตรกรเลี้ยงกลับคืนด้วย ดังนั้น เกษตรกรจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการหาแหล่งขายกุ้งเครย์ฟิช
  • ระบบการคลอดอัตโนมัติ (Auto Birthing System – ABS) : ระบบโมดูลาร์ (Modular System) แบบใหม่นี้จะช่วยกําหนดการผลิตกุ้งเครย์ฟิชใหม่ โดยเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดพื้นที่ และง่ายต่อการบํารุงรักษา ซึ่งระบบ ABS ถือเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร สามารถปรับปรุงอัตราการรอดชีวิตของกุ้งเครย์ฟิชได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วโลก
  • ระบบน้ำหมุนเวียนในตู้คอนเทนเนอร์ (Container Recirculating Aquaculture System – CRAS) : เป็นนวัตกรรม “plug and play” ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหมุนเวียนแบบดั้งเดิม (RAS) ซึ่ง CRAS ไม่เพียงแต่ลดภาระค่าใช้จ่ายที่สูง และก้าวข้ามอุปสรรคทางการเคลื่อนย้าย และแก้ปัญหาในการบำรุงรักษาที่เกี่ยวเนื่องกับ RAS แบบเดิมเท่านั้น แต่ยังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในร่มและกลางแจ้งอีกด้วย
  • แนวคิด WeWork : เป็นแนวคิดเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าถึงอุตสาหกรรมโดยใช้พื้นที่ทำงานร่วมกัน ให้สามารถใช้ที่ดินที่มีประสิทธิภาพโดยการรวมธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายแห่งไว้ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดการใช้ที่ดินอย่างสิ้นเปลืองและเพิ่มการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเวลาเดียวกัน
เทคนิคการปลูกพืชแซมกับการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช

“Singapore Crawfish” ต้นแบบฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช

จากผลการดำเนินงานที่มุ่งมั่นและตั้งใจของ Singapore Crawfish จึงถือเป็นองค์กรต้นแบบของการดำเนินธุรกิจฟาร์มเชิงเกษตรที่ประสบความสำเร็จ โดยมีเกษตรกรตัวอย่างที่ได้ร่วมงานกับ Singapore Crawfish ในอินโดนีเซีย ซึ่งได้ใช้เทคนิคการปลูกพืชแซมกับการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช

สำหรับวิธีนี้ช่วยเพิ่มการใช้นาข้าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการสร้างระบบนิเวศทางชีวภาพ ก้านข้าวนั้นให้ร่มเงา เป็นที่กำบัง และทำหน้าที่เป็นตัวกรองแอมโมเนียตามธรรมชาติ ส่วนกุ้งเครย์ฟิชช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงโดยการบริโภคแมลงในนาข้าว และอุจจาระของพวกมันช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของข้าว

ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการเจริญเติบโตในการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิช การเลี้ยงปลา และการเลี้ยงข้าว อีกทั้งการวางแผนผังฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและการเว้นระยะห่างในการปลูกข้าวที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทคนิคการปลูกพืชแบบผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์นี้ เทคนิคเหล่านี้ป้องกันการหลบหนีของกุ้งเครย์ฟิช ทำให้การเก็บเกี่ยวง่ายขึ้น ช่วยสร้างออกซิเจนและพื้นที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของข้าว

ด้านเกษตรกรในท้องถิ่น กล่าวว่า กุ้งเครย์ฟิชเหล่านี้เติบโตและผสมพันธุ์อย่างรวดเร็ว มีความทนทานสูง และมีวงจรการเติบโตออกสู่ตลาดค่อนข้างสั้น ทำให้เราสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งเร็วกว่าพืชผลส่วนใหญ่

นอกจากนี้ Singapore Crawfish ยังเพิ่มปลาเข้าไปในระบบนิเวศนี้ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรอีกด้วย ในขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว Singapore Crawfish เน้นการใช้โครงสร้างในการปลูกพืชแบบผสมผสานเป็นต้นแบบ

อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรท่านใดสนใจอยากร่วมงานกับ Singapore Crawfish สามารถนำเทคนิคหรือเทคโนโลยีการปลูกพืชเชิงผสมผสานมาปรับใช้ได้ ทั้งนี้ บริษัทยังจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรด้วยการซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่เกษตรกรเลี้ยงกลับมาด้วย

ปัจจุบัน Singapore Crawfish ถือเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้สูง และดำเนินธุรกิจตามรูปแบบแฟรนไชส์ โดยในปี 2567 Singapore Crawfish เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปลงทุนในแฟรนไชส์กุ้งเครย์ฟิชเป็นเจ้าแรกในไทย ซึ่งแฟรนไชส์ต่อๆ ไปจะอยู่ภายใต้บริษัทแฟรนไชส์แห่งแรกนี้

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทยังได้มีการลงทุนสูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโรงฟักไข่กุ้งเครย์ฟิชที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในประเทศไทย โดยขนาดของโรงเพาะฟักจะอยู่ที่ 10,000 ตารางเมตร (1 เฮกตาร์) และพื้นที่เติบโตจะอยู่ที่ 100 เฮกตาร์

สำหรับนักลงทุนที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน Singapore Crawfish สามารถลงทุนเริ่มต้นที่ 50,000 เหรียญสหรัฐต่อตั๋ว โดยจะมีตั๋วทั้งหมด 200 ใบ ได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 12% ถึง 18% ต่อปี ขณะที่ภายใน 3-5 ปี บริษัทจะจดทะเบียนบริษัทใน Nasdaq โดยมี PE ขั้นต่ำ 20

สามารถสอบถามรายละเอียดและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : Singapore Crawfish

Instagram : singaporecrawfish 

Email : [email protected]