“ชันโรง” แมลงเศรษฐกิจทำเงิน ดูแลจัดการง่าย ผลกำไรสูง 70 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบัน “ชันโรง” หรือผึ้งจิ๋ว นับเป็นแมลงเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากดูแลจัดการง่าย แถมให้ผลตอบแทนสูง ชันโรงเป็นแมลงที่ช่วยผสมเกสรคล้ายผึ้ง ช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังมีผลพลอยอีกมากมาย เช่น การขายตัวอ่อนนางพญาผึ้งชันโรง การขายน้ำผึ้งชันโรง ยางไม้ (ชัน) หรือ พรอพโพลิส (Propolis) ที่อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ สามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามได้หลายชนิด อาทิ สบู่ หรือโลชั่น ฯลฯ

น้ำผึ้งชันโรงไม่ได้เป็นแค่อาหาร แต่มีสรรพคุณทางยา ถือเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะชันโรงมีพฤติกรรมเก็บน้ำหวานจากดอกไม้และละอองเกสรของพืชที่มีคุณสมบัติทางยามาใช้เป็นอาหารเช่นเดียวกับผึ้ง ชันโรงดูดน้ำหวานดอกไม้ 20 เปอร์เซ็นต์ และเก็บเกสรดอกไม้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผึ้งทั่วไปมักดูดน้ำหวานจากดอกไม้ 80 เปอร์เซ็นต์ และเก็บเกสรดอกไม้ 20 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน น้ำผึ้งชันโรงขายได้ราคาแพงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีส่วนประกอบของสารฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันและยับยั้งเซลล์มะเร็ง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สมานแผล และช่วยบำรุงสมอง

ถ้วยอาหาร สีน้ำตาลเข้มเก็บน้ำผึ้ง สีน้ำตาลสว่างเก็บเกสร

อยากรู้เรื่อง “ชันโรง”
ต้องมาที่ “Bee Park”

ศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมืองและแมลงผสมเกสร มจธ.ราชบุรี “Bee Park” ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ที่นี่ศึกษาเรื่องการเลี้ยง ผึ้งพื้นเมือง ชันโรง และแมลงผสมเกสรกว่า 16 ปีแล้วโดยเน้นศึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์จากผึ้งพื้นเมืองเอเชีย การประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ

ปัจจุบัน อาจารย์แอ๊ว หรือ รศ.ดร.อรวรรณ ดวงภักดี หัวหน้าศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมือง และแมลงผสมเกสร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ราชบุรี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมผึ้งและภาษาผึ้งคนแรกของไทย ล่าสุด ยังเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ “Regional President of Asia” ของสภาบริหารของสมาคมผึ้งโลก

ถ้วยตัวอ่อน สีเข้มอ่อนตามอายุของมัน

อาจารย์แอ๊ว กล่าวว่า สำหรับการเลี้ยงชันโรง ทางศูนย์มุ่งศึกษาวิจัยเรื่องชันโรง ตั้งแต่พฤติกรรมและความหลากหลายของชันโรง ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากชันโรงเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร สร้างน้ำผึ้งมูลค่าสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจำหน่ายผ่านแบรนด์ “BEESANC” ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับผลผลิตน้ำผึ้งของเกษตรกรที่ผ่านการอบรมจากทั่วประเทศไทย

ขณะเดียวกัน ทางศูนย์ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการเลี้ยงชันโรง ตั้งแต่ชนิดของชันโรงในประเทศไทย การคัดเลือกชนิดชันโรง รูปแบบการเลี้ยง การปลูกพืชอาหารชันโรง การออกแบบสวน ขั้นตอนการเก็บ การแยกขยายกล่อง ไปจนถึงกระบวนการผลิตน้ำผึ้งแบบธรรมชาติเพื่อให้ได้น้ำผึ้งคุณภาพที่ดีที่สุดในเวลาที่ดีที่สุด การวิเคราะห์คุณสมบัติอาหารฟังก์ชั่นของน้ำผึ้ง จนถึงการทำตลาด มีบริการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงชันโรงและผึ้งสู่กลุ่มเกษตรกรและประชาชนที่สนใจ เพื่อพัฒนาการเลี้ยงชันโรงและผึ้งพื้นเมืองอย่างยั่งยืน

อาจารย์แอ๊ว หรือ รศ.ดร.อรวรรณ ดวงภักดี หัวหน้าศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมือง และแมลงผสมเกสร มจธ.ราชบุรี

ที่ผ่านมา ทางศูนย์วิจัยฯ ได้สร้างโมเดลการเลี้ยงผึ้ง BEESANC มีความหมายว่า “สวรรค์ของผึ้ง” สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นมิตรกับผึ้ง ทั้งในแง่ความปลอดภัยจากสารเคมี การปลูกพืชอาหารเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำผึ้ง และการปลูกพืชสมุนไพรชนิดพิเศษ ที่เพิ่มคุณค่าทางสุขภาพให้กับน้ำผึ้งที่ผลิตได้ และก่อตั้งเป็นธุรกิจเพื่อสังคมในนามบริษัท BEESANC รับซื้อน้ำผึ้งชันโรงในราคากิโลกรัมละ 1,000 บาท จำหน่ายในแบรนด์ BEESANC เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่น้ำผึ้งไทย เป็นกลไกในการพัฒนาน้ำผึ้งมูลค่าสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นเจาะกลุ่มตลาด Hi-End ที่ต้องการสินค้า น้ำผึ้งออร์กานิกแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านการรับรองจากศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมืองและแมลงผสมเกสร ของ มจธ.

Advertisement
พรอพอลิส (Propolis) สีเข้ม เป็นยางไม้ที่ชันโรงไปเก็บมาจากต้นไม้

เลี้ยงชันโรงตัวเล็ก

ชันโรงพบการแพร่กระจายในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน ทั้งนี้ ทั่วโลกมีชันโรงมากกว่า 400 ชนิด ในประเทศไทยค้นพบชันโรงพันธุ์พื้นเมืองประมาณ 34-35 ชนิด แต่ละชนิดพบมีการกระจายตัวอยู่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และระดับความสูงของพื้นที่อาศัยจากระดับน้ำทะเล

โดยทั่วไป เกษตรกรนิยมเลี้ยงชันโรงตัวเล็ก กลุ่ม Tetragonula ในลังและให้ผลผลิตที่ดี ได้แก่ ชันโรงขนเงิน (Tetragonula pegdeni) ชันโรงถ้วยดำ (Tetragonula laeviceps) ชันโรงปากแตรสั้น (Lepidotrigona terminata) และชันโรงปากแตรยาว (Lepidotrigona ventralis) ซึ่งเหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่ราบโดยทั่วไป ส่วนพื้นที่ภาคเหนือ เขตภูเขาสูงที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศามากกว่า 1 เดือนต่อปี ควรเลี้ยง ชันโรงปากแตรใหญ่ Lepidotrigona terminata) ส่วนพื้นที่ภาคใต้ นิยมเลี้ยง ชันโรงอิตาม่า (Heterotrigona itama)

Advertisement
มุมขวาบนของรัง เป็นกลุ่มไข่และตัวอ่อน

พืชอาหารที่ชันโรงชอบ

หากใครอยากเลี้ยงชันโรงเป็นอาชีพเสริม สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ปลูกพืชผัก ผลไม้ ดอกไม้ที่ปลูกดูแลแบบเกษตรอินทรีย์ หรืออยู่ใกล้ป่าธรรมชาติ ที่มีต้นไม้นานาชนิดให้เป็นแหล่งอาหารของชันโรง ทั้งนี้ จากการศึกษาของศูนย์วิจัยฯ พบว่า พืชอาหารที่ถูกใจชันโรง ถือเป็นอาหารเกรด เอ ที่มีคุณค่าทางยามากที่สุดคือ “ดอกดาวกระจาย” เพราะมีสรรพคุณทางยาสูง โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบสูงถึง 97-98 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ “ดอกเสี้ยวป่า” ซึ่งมีสรรพคุณทางยา ให้สารต้านการอักเสบสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์

ดอกไม้ อาหารของชันโรง

ต้นรักแรกพบ ก็เหมาะสำหรับปลูกเป็นแหล่งอาหารชันโรงและผึ้ง เพราะดอกให้น้ำหวานเยอะ ผลิตน้ำหวานทุกวัน ส่วนดอกฟักทองให้ปริมาณน้ำหวานสูงถึง 43 บริกซ์ นอกจากนี้ ยังมีดอกประดูป่า ดอกพิกุล ดอกมะระ ดอกมะคาเดเมีย ดอกกาแฟ ฯลฯ ที่แนะนำให้เกษตรกรปลูกเป็นแหล่งอาหารของชันโรง

นอกจากพืชอาหารจะมีความสำคัญต่อคุณภาพน้ำผึ้งชันโรงแล้ว เรื่องการเก็บผลผลิตและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ก่อนเก็บน้ำผึ้งควรปล่อยให้จุลินทรีย์และเอนไซม์ทำงานเต็มที่ เพราะน้ำผึ้งที่มีคุณภาพสูงจะต้องมีความชื้นเหลืออยู่ที่ 22-21 เปอร์เซ็นต์ หลังชันโรงเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ที่มีคุณสมบัติทางยา เมื่อเป็นน้ำผึ้งจะเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่ 10-100 เท่า เมื่อผสานกับนวัตกรรมการบ่มน้ำผึ้งที่ให้จุลินทรีย์และเอนไซม์ของศูนย์วิจัยฯ ยิ่งทำให้น้ำผึ้งมีความเป็นยามากขึ้น

รังชันโรง

“ชันโรง” เลี้ยงได้ทุกเพศทุกวัย
ให้ผลตอบแทนสูง 66-70 เปอร์เซ็นต์   

การเลี้ยงชันโรงและผึ้ง สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้บริโภคและตัวเกษตรกร เพราะพื้นที่ที่ใช้เลี้ยงชันโรงและผึ้งต้องปราศจากการใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนของการปลูกพืช ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ปลอดสารพิษให้กับชุมชน สร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศและผลกระทบเชิงบวกเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว

ทุกวันนี้ การเลี้ยงชันโรงถือเป็นเรื่องง่าย สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย เพราะชันโรงไม่มีเหล็กในเหมือนผึ้ง ไม่สามารถต่อยศัตรูได้ ชันโรงจึงมีฟันกรามที่แข็งแรงใช้กัดศัตรูเพื่อต่อสู้ป้องกันรังแทน การเลี้ยงชันโรงใช้ต้นทุนผลิตไม่สูงมาก กล่องหรือลังสำหรับเลี้ยงชันโรงสามารถประกอบได้เอง หรือหาซื้อได้ในท้องตลาดทั่วไป ราคาประมาณ 200-300 บาทต่อรัง ส่วนชันโรงซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมือง สามารถหาตามธรรมชาติ

น้ำผึ้งชันโรง BEESANC จากโมเดลการเลี้ยงผึ้งสู่ธุรกิจเพื่อสังคม

อาจารย์แอ๊ว กล่าวว่า ทุกวันนี้ คนที่เลี้ยงชันโรงมีทุกเพศทุกวัย อายุน้อยสุดที่เลี้ยงชันโรงคือ 6 ขวบ อายุมากสุดคือ 90 ปี  มีอาจารย์วัยเกษียณในอำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี หันมาเลี้ยงชันโรงเป็นจำนวนมาก เพราะดูแลจัดการง่าย ใช้เวลาดูแลเอาใจใส่ไม่มาก ประมาณ 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง ครั้งละไม่เกิน 10 นาทีต่อลัง ชันโรงจะบินออกไปหาอาหารทุกวัน จะเก็บน้ำผึ้งได้สูงสุด 1 กิโลกรัมต่อรัง ทางศูนย์วิจัยฯ รับซื้อน้ำผึ้งชันโรงที่กิโลกรัมละ 1,000 บาท

“การเลี้ยงชันโรงเหมือนการหยอดกระปุกค่อยๆ สะสมไป สามารถทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้อย่างดี ผลการศึกษาพบว่า การเลี้ยงชันโรงให้ผลตอบแทนสูง 66-70 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับขนาดของฟาร์ม หากลงทุน 100 บาทก็จะได้ผลตอบแทนคืนไป 170 บาท เปรียบเทียบรายได้การปลูกมันสำปะหลัง ลงทุน 100 บาท ได้ผลตอบแทน 115 บาท บางครั้งยังขาดทุนอีกด้วย ดังนั้น การเลี้ยงชันโรงจึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรและผู้สนใจทั่วไปเพราะสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงอย่างยั่งยืนไม่แพ้อาชีพอื่นๆ” อาจารย์แอ๊ว กล่าวในที่สุด

 

เผยแพร่ออนไลน์ล่าสุด เมื่อวันพฤหัสที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2566