ม.มหิดล วิจัยยาใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เตรียมผลักดันสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ลดภาระค่ายาประชาชนคนไทย

เป็นที่น่ายินดีที่เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ประกาศรายชื่อมหาวิทยาลัยไทยที่สามารถก้าวขึ้นสู่มหาวิทยาลัยอันดับโลก จากการจัดอันดับ QS World University Rankings 2022 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล ติดอันดับ Top 100 สาขาวิชาด้านเภสัชกรรมและเภสัชวิทยา

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คือ เบื้องหลังของความสำเร็จอันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศดังกล่าว หนึ่งในผลงานโดดเด่นล่าสุด ซึ่งมีส่วนผลักดันให้มหาวิทยาลัยมหิดลสามารถก้าวขึ้นสู่ Top100 มหาวิทยาลัยอันดับโลก QS World University Rankings 2022 สาขาวิชาด้านเภสัชกรรมและเภสัชวิทยา ได้แก่ งานวิจัยที่สามารถแก้ไขปัญหาทางด้านสาธารณสุขเรื่องการเข้าถึงยาใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะของไทย

รองศาสตราจารย์ เภสัชกรสุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเจ้าของผลงานวิจัย เรื่อง “การเปรียบเทียบประสิทธิผล และความปลอดภัยของยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดกินรุ่นใหม่ กับยาวาร์ฟาริน ในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยอาศัยข้อมูลจากการใช้จริงในระบบสุขภาพ” (Real-World Comparative Effectiveness and Safety of Non-Vitamin K Antagonist Oral Anticoagulants vs. Warfarin in a Developing Country) ซึ่งสามารถคว้ารางวัลระดับโลก “Nagai Award Thailand 2021” จาก The Nagai Foundation Tokyo ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้ คือ ความหวังของผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะของไทย ในการเข้าถึงยาใหม่

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะมีหลายประเภท แต่ประเภทที่พบบ่อยที่สุดในประชากรทั่วโลก รวมถึงประชากรไทยด้วย คือ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ โดยมีลักษณะที่สั่นพลิ้ว ขาดการบีบตัวที่ดี ทำให้การไหลเวียนเลือดในหัวใจไม่ดี และนำไปสู่การเกิดก้อนเลือดในหัวใจ ก้อนเลือดดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้น อาจหลุดขึ้นไปอุดตันหลอดเลือดที่สมองแบบเฉียบพลันและรุนแรง และทำให้เนื้อสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เกิดอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ได้ ด้วยเหตุนี้วิธีการหนึ่งในการรักษาภาวะดังกล่าว คือ การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดก้อนเลือดอุดตันในสมอง

ในอดีตยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ “วาร์ฟาริน” (Warfarin) อย่างไรก็ตาม ยาดังกล่าวมีปัญหาในการใช้ค่อนข้างมาก การควบคุมระดับการแข็งตัวของเลือดให้เหมาะสมตลอดเวลาทำได้ยาก และมีข้อเสียที่สำคัญ คือ พบอาการข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงจากการทำให้เกิดเลือดออกได้โดยเฉพาะเมื่อควบคุมการใช้ยาได้ไม่ดีพอ

ด้วยความสนใจในการศึกษายารักษาโรคหัวใจอยู่แล้ว รองศาสตราจารย์ เภสัชกรสุรกิจ นาฑีสุวรรณ ได้ศึกษาต่อยอดถึงประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในกลุ่มใหม่ที่ชื่อว่า “Non-Vitamin K Antagonist Oral Anticoagulants” ซึ่งยังไม่มีการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นคนไทยมาก่อน โดยเปรียบเทียบกับยาเก่า “วาร์ฟาริน” (Warfarin) ที่ใช้ต้านการแข็งตัวของเลือด และลดการเกิดก้อนเลือด แต่มีข้อเสีย คือ มักพบอาการข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงจากการทำให้เกิดเลือดออกได้ กรณีที่พบบ่อยมากที่สุดของผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ การที่ผู้ป่วยต้องกลายเป็นอัมพฤกษ์ และอัมพาต จากการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ แล้วทำให้เลือดในหัวใจไหลไม่ดี จนเกิดก้อนเลือดขึ้น และไหลตามกระแสเลือดจากหัวใจขึ้นไปอุดตันในสมอง

“Non-Vitamin K Antagonist Oral Anticoagulants” เป็นยากลุ่มใหม่ที่แม้อาจมีราคาที่สูงกว่าและในปัจจุบันยังใช้สิทธิเบิกจ่ายไม่ได้ แต่จากผลการวิจัยกับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะไทยกว่า 2,000 ราย พบว่ายาใหม่เหล่านี้มีอัตราการเกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่ายา “วาร์ฟาริน” (Warfarin)  อย่างมาก ช่วยลดอัตราการเกิดเลือดออกได้สูงถึงร้อยละ 50-70 นอกจากนี้ พบว่า “Non-Vitamin K Antagonist Oral Anticoagulants” มีประสิทธิภาพที่ดีกว่ายา “วาร์ฟาริน” (Warfarin) ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยา “วาร์ฟาริน” (Warfarin) แต่ควบคุมระดับการแข็งตัวของเลือดได้ไม่ดีพอ

“การที่งานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่มีชื่อเสียง ไม่สำคัญเท่าการได้เห็นงานวิจัยที่ทำนั้นมีประโยชน์ต่อสังคม ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถทำให้สังคมได้เห็นว่างานวิจัยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเพียงใด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมสนับสนุนงานวิจัยที่มีประโยชน์ ให้เจริญเติบโตต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ” รองศาสตราจารย์ เภสัชกรสุรกิจ นาฑีสุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย