ม.มหิดล ส่งเสริมการใช้ภาษาและวัฒนธรรม เปลี่ยนโลกที่แตกต่างสู่ความเป็นหนึ่งเดียว ด้วยนวัตกรรม MU Thai Test

รองศาสตราจารย์ ดร. ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย (RILCA) มหาวิทยาลัยมหิดล คือ หนึ่งในความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้ทุ่มเทเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ศึกษาวิจัยและส่งเสริมการใช้กลไกทางภาษาและวัฒนธรรมเพื่อความเสมอภาคในความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแรงงานต่างชาติ

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย (RILCA) มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้สร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรม”MU Thai Test” เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางภาษาในกลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงกลุ่มแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย เพื่อใช้วัดประเมินความสามารถในการฟังพูด อ่าน และเขียนภาษาไทย

เบื้องต้น “MU Thai Test” ได้นำไปใช้ทดสอบกลุ่มผู้อพยพจากประเทศเมียนมาที่เป็นลูกหลานแรงงานที่เรียนในระดับประถมและแรงงานต่างชาติที่เรียนหลักสูตรนอกระบบของไทย (กศน.) ซึ่งการทดสอบได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักเรียนและแรงงานต่างชาติที่ต้องการทราบระดับความสามารถทางภาษาไทยของตนเอง เพื่อการพัฒนาทักษะทางภาษา และใช้ในการสมัครงาน รวมทั้งสถานศึกษาที่นำผลการทดสอบไปพัฒนาการเรียนการสอนภาษาให้กับแรงงานต่างชาติอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

“นอกจากนี้ ยังตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ข้อที่ 3 ว่าด้วยการมีสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน และข้อที่ 10 ว่าด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากภาษาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการต่างๆ เป็นบันไดขั้นสำคัญที่ช่วยให้ก้าวสู่ความเท่าเทียม” รองศาสตราจารย์ ดร. ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์ กล่าว

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. วัชรพล วิบูลยศริน รองผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริการวิชาการ และสื่อสารองค์กร และอาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาและการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม สถาบัน RILCA มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวเพิ่มเติมในฐานะผู้พัฒนา (Developer) นวัตกรรม “MU Thai Test” ซึ่งใช้ในการทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาไทยของกลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรกว่า ถือเป็นโอกาสที่ทางสถาบันฯ จะได้นำองค์ความรู้อันเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมพหุวัฒนธรรม

โดยในเบื้องต้นได้พัฒนา  “MU Thai Test” เพื่อใช้ทดสอบแบบ Paper-based หรือทดสอบ ณ สถานที่ตั้ง (Onsite) โดยพบว่าในการทดสอบส่วนของการฟัง ผู้เข้ารับการทดสอบที่เป็นกลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นชินกับเสียงภาษาไทยที่หลากหลาย จึงส่งผลให้ยังไม่สามารถทำคะแนนได้ดีเท่าที่ควร ทีมวิจัยจึงได้นำfeedback ดังกล่าวมาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น และต่อไปจะได้ขยายประโยชน์สู่การทดสอบในแบบInternet-based ในลักษณะของการทดสอบบนระบบออนไลน์ โดยเตรียมหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เพื่อพัฒนาสู่การเป็น “ศูนย์ทดสอบภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติ” ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับต่อไป